ขณะคิดยังไม่เป็นธรรม เพราะยังเป็นเราคิด
ผู้ฟัง อย่างเช่นจิตเห็น จิตเป็นสภาพรู้ ทีนี้สภาพรู้โดยทั่วๆ ไปก็ยัง มีความเข้าใจอยู่ว่ารู้ที่ใจ
ท่านอาจารย์ ชี้ตรงไหนๆ ก็รู้ที่ใจ ชี้ตรงไหนก็เป็นรูปทั้งนั้น ไม่ใช่นามธรรมๆ ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการเข้าใจต้องเข้าใจโดยละเอียด โดยตลอด โดยใกล้ชิดต่อลักษณะของสภาพธรรมนั้น ถ้ากล่าวว่านามธรรมไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้ง สิ้นต้องแยกแล้วใช่ไหม สิ่งที่ปรากฏเป็นแสงสว่างเป็นสีสันต่างๆ ไม่ใช่นามธรรม แต่ เป็นรูปชนิดหนึ่งซึ่งสามารถปรากฏได้ทางตา เพราะฉะนั้นนามธรรมไม่มีรูปใดๆ เจือปน เลยทั้งสิ้น ไม่ใช่สีสันวัณณะ ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส เป็นเพียงธาตุรู้หรือสภาพรู้
ผู้ฟัง แต่ลักษณะของนามธรรมอย่างเช่นจิตเกิดดับ ที่เรียนมาก็เกิด จากหทยวัตถุ ใช่หรือไม่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ มีหทยวัตถุเป็นที่เกิดในภูมิที่มีรูป ถ้าเป็นภูมิที่ไม่มีรูปเกิด ได้โดยไม่ต้องมีหทยวัตถุเป็นที่อาศัยเกิด นี่แสดงให้เห็นความต่างกันโดยเด็ดขาด นามธรรมเป็นสภาพรู้ สามารถที่จะเกิดโดยไม่อาศัยรูปได้ เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่ กำลังรู้ลักษณะของสภาพรู้ ขณะนั้นจะไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น ถ้าเจือปนหมาย ความว่าไปคิดถึงแล้ว ไม่ใช่ขณะนั้นรู้ลักษณะที่เป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ถึง ความแยกขาดของนามธรรม และรูปธรรมว่าเป็นสภาพธรรมต่างชนิด แล้วแต่ว่าถ้าเป็นไป ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จึงอาศัยรูปเกิดขึ้น แต่ถ้าในภูมิที่ไม่มีรูป นามธรรมก็เกิดได้โดยเหตุ ปัจจัย โดยเจตสิกซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดร่วมกัน แยกกันไม่ได้เป็นสหชาตปัจจัย
ผู้ฟัง อย่างนี้สิ่งที่ปรากฏคือรูปกับนาม แต่ว่าเราไม่จำเป็นต้องลงไป ถึงขนาดทีว่าทางปัญจทวารหรือมโนทวารหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ นั่นชื่อ ถ้ากำลังมีลักษณะสภาพธรรมปรากฏไม่ต้องเรียกชื่อเลย อย่างแข็ง และสติรู้ลักษณะนั้น แข็งเป็นสภาพรู้ที่มีแข็งปรากฏเพราะมีสภาพที่รู้แข็งจึงได้ ปรากฏ แต่แข็งนั่นแหล่ะก็เป็นเพียงอาศัยระลึกเมื่อสติเกิด ระลึกลักษณะที่แข็งนั้นต่อ เพราะว่าวันหนึ่งๆ ก็จะมีการรู้แข็งเป็นประจำถ้ามีการรู้กายปสาทกระทบสิ่งที่อ่อนหรือ แข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว แต่สติไม่ได้รู้ตรงนั้น แต่ขณะใดที่กำลังรู้ตรงนั้น เพียง อาศัยระลึก เราก็จะมีความเข้าใจที่ชัดเจนถ้าได้ปัญญาอบรมแล้วว่าเพียงอาศัยระลึก เพราะดับแล้ว แต่ถ้าสิ่งนั้นยังไม่ได้ดับ ก็อาศัยระลึกต่อไปเพื่อที่จะเข้าใจความต่างของ นามธรรม และรูปธรรม ลักษณะของมโนทวาร ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้ กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกได้ใช่ไหม โดยชื่อ ขณะนั้นเรา บอกว่าเป็นมโนทวารแน่ๆ เลย เพราะว่าไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส โดยชื่อรู้ว่าเป็นมโนทวาร แต่ลักษณะของจิตที่ไม่ใช่จิตเห็น จิต ได้ยิน ไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นจะเป็นการรู้ทางมโนทวารได้ไหม เพียงรู้ชื่อใช่ไหมว่า ขณะนั้นคิด เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมก็จะต้องละเอียด และก็ไตร่ตรอง อย่างมโนทวาร นี่สงสัยว่าอยู่ที่ไหนเมื่อไหร่ ก็คือขณะใดที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่ กระทบสัมผัส คิด ตอนกลางคืนนอนแล้วก็คิดใช่ไหม ไม่ได้ดูโทรทัศน์ ไม่ได้อะไรๆ เลย ก็ยังคิด ขณะที่คิดไม่ได้รู้เลยว่าจิตนั้นไม่ใช่จิตเห็น จิตได้ยิน และก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น จะชื่อว่ารู้จักมโนทวารไม่ได้ เพราะว่ายังคงเป็นเราคิด
ที่มา ...