ความต่างกันของสิ่งที่ปรากฏทางตากับเห็น
วิตกเป็นสภาพที่คิดนึก เป็นเจตสิก เป็นธรรมที่มีจริง มีหน้าที่ตรึก วันหนึ่งๆ คิดแต่เรื่องอื่นหมดเลยใช่ไหม แต่ที่จะแม้ฟังก็กำลังตรึกถึงสิ่งที่ได้ฟัง แล้วก็ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทั้งหมดนี้ก็คือการปรุงแต่งของสภาพธรรมที่เกิด เมื่อได้ยินแล้วก็เป็นกุศลจะแยบคาย ไม่แยบคายยังไงก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจในขั้นการฟังอย่างมั่นคง ว่าขณะนี้ก็มีธาตุรู้ซึ่งเป็นนามธรรม เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง แม้ในขณะที่กำลังเห็น เริ่มใกล้เข้ามาอีกหน่อย ขณะนี้เอง ธาตุเห็น ลักษณะที่เห็น สภาพที่เห็น ก็คือไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ
ถ้าคุณสุกัญญาฟังวันนี้แล้วอยากจะให้รู้ลักษณะสภาพเห็นหรือธาตุรู้ทันที เป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ แต่เมื่อฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจแล้วไม่ลืมด้วยถึงความต่างกันของสิ่งที่ปรากฏ กับสภาพที่กำลังเห็น ในขณะนี้ จะเหมือนบุคคลในครั้งที่ได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาสะสมการที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้นจึงสามารถที่จะกล่าวได้ ว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแจ่มแจ้ง เพราะเหตุว่าพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่พูดถึงสิ่งที่ไม่มีเลย แต่กว่าจะเป็นความเข้าใจถึงระดับนั้นต้องเป็นผู้ที่มีขันติความอดทน เพราะเหตุว่าสิ่งใดที่จริง พร้อมที่จะพิสูจน์ ไม่ผิดเลย และก็เป็นปกติด้วย แต่ที่จะรู้ได้ก็ต้องเป็นปัญญา ถ้ายังเป็นปัญญาระดับนี้ ก็รู้ได้ว่ายังไม่ถึงการที่จะประจักษ์แจ้ง แต่วันหนึ่งถึงได้ โดยการที่เริ่มรู้ความต่างกันของขณะที่ใช้คำว่า“หลงลืมสติ” หมายความถึงสติที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่สติขั้นทาน ขั้นศีล
เพราะฉะนั้นก็จะรู้ความต่างกันด้วยตนเอง ต้องเป็นปัญญาของตนเองจริงๆ
ที่มา ...