รู้ความต่างของการรู้ตัวจริงกับเพียงเรียกชื่อ
ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏกับสภาพเห็น
ท่านอาจารย์ สภาพเห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏแต่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏ
ผู้ฟัง คือนามเห็น
ท่านอาจารย์ เรียกชื่อถูก แต่ว่าลักษณะจริงๆ รู้อย่างนั้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราจะศึกษาเรื่องโลภมูลจิตกี่ประเภท หรือโทสะ หรือกุศล หรือว่าลักษณะใดๆ ก็ตามที่ได้ยินได้ฟัง แต่ถ้ายังไม่รู้ลักษณะจริงๆ ก็หมายความว่าเราเข้าใจเรื่องราวของสิ่งนั้น เวลาที่สภาพธรรมปรากฏก็ตรงตามที่ได้ศึกษา ต้องตรงด้วย จะต่างกันไม่ได้เลย แต่เป็นความรู้ต่างขั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะเรียนเรื่องโลภมูลจิต เราเรียนชื่อหรือว่าขณะนี้ถ้ามีความติดข้องเกิดขึ้นรู้ นี่คือความต่างกัน แม้กำลังติดข้องก็ไม่รู้ อย่างดอกไม้นี้เห็นแล้วก็ติดข้องทันที ก็ยังไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นความติดข้องซึ่งต่างกับเห็น เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าต้องเข้าใจถูกต้องจริงๆ เมื่อได้ฟังแล้วก็รู้ว่าจะต้องรู้ลักษณะที่ต่างกันด้วย และความติดข้องๆ ระดับไหนถ้าติดข้องมีโสมนัส ความรู้สึกเป็นสุขอย่างมาก ดีใจตื่นเต้น ปิติ ขณะนั้นก็รู้ว่าก็หมายความถึงความติดข้องประเภทหนึ่ง และความติดข้องนี้มีกำลังกล้าที่จะเกิดขึ้นเองตามการสะสม ไม่มีใครชักชวนบอกว่าสีนี้ก็สวยนะ หรืออะไรอย่างนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าขณะนั้นก็เป็นโลภะประเภทที่มีกำลังกล้าเพราะเกิดขึ้นเอง ก็เป็นการที่จะรู้สิ่งที่มีจริง และก็รู้ว่าสิ่งที่มีจริงนั้นละเอียดขึ้นว่าเป็นระดับของโสมนัสหรือระดับของอุเบกขา หรือว่ามีกำลังกล้าที่จะเกิดเอง หรือว่าอาศัยการชักจูงของคนอื่น หรือว่าของความลังเล ของความที่ยังไม่เกิดขึ้นทันที ก็เป็นเรื่องที่รู้ตัวเอง รู้เรื่องจริง รู้สิ่งที่มีจริงๆ และก็ชื่อต่างๆ ก็ต้องตรงที่ได้ประมวลไว้เป็น ๘ ประเภท
ที่มา ...