ละคลายความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏทางตา


    ผู้ฟัง อยากจะเรียนถามว่าเราจะต้องทำความเข้าใจไหมว่าลักษณะสภาพธรรมของการสะสมของจิต เจตสิกที่พูดถึง มันเป็นลักษณะแบบนี้ เราจะไปบังคับบัญชาให้เพิ่มอยากจะรู้เพิ่มมากขึ้น อยากจะอ่าน มันทำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ความเป็นตัวตนนี่ลึกมาก และก็ละเอียดด้วย ถ้าเป็นเพียงเล็กน้อยเราจะไม่รู้เลยว่าเราศึกษาธรรมเพื่ออะไร หรือเพราะอะไร เพราะว่าบางคนไม่ใช่เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เพื่อไตร่ตรองให้เข้าถึงความละเอียด ความลึกซึ้งเพื่อละคลายความไม่รู้ แต่เพราะอยากจะรู้เรื่อง อยากจะรู้ชื่อ อยากจะได้ชื่อเยอะๆ แต่ว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่สนใจเลย เพราะฉะนั้นเวลาที่ฟังพระสูตร จะอ่านหนังสือธรรมหรือพระไตรปิฎกก็ตามแต่ ขณะที่กำลังศึกษาไตร่ตรองให้เขาใจในสิ่งที่มี ที่ได้ยินได้ฟัง ได้อ่าน จนเป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่ศึกษาธรรมจะรู้ได้ว่าเมื่ออ่านแล้วมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นหรือเปล่า หรือว่าเพียงแต่อ่านแล้วจบแล้วเล่มนี้แล้วไปอ่านเล่มต่อไป จะได้รู้ว่าตรงนี้อยู่ตรงไหน เป็นเรื่องเดียวกันยังไง ชื่ออะไร นั่นไม่ใช่การศึกษาเพื่อละ เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ คุณศุภักษรขับรถไปทำงานใช่ไหม ฟังธรรมในรถหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ฟังค่ะ

    ท่านอาจารย์ นั่นก็เป็นประโยชน์ ไม่ได้หมายความว่าขาดการฟัง ก็ยังหาโอกาสทุกโอกาสที่จะฟังธรรม และก็อาจจะฝืนใจสำหรับบางคน แต่ฝืนไปก่อน แต่เพราะมีการสะสมมาที่จะฟัง ต่อไปก็จะเห็นประโยชน์ แต่ทั้งหมดเมื่อยังมีกิเลสอยู่มากมายจากการสะสมมาในสังสารวัฏฏ์ แม้สติสัมปชัญญะเกิดก็เห็นอกุศลนี่แหละ ถูกไหม หรือว่าสะสมมาจนกระทั่งเป็นผู้ที่มีกุศลทั้งนั้นเลย พอสติสัมปชัญญะเกิดก็เห็นแต่กุศล นั่นก็ผิดปกติ เพราะปกติแม้ขณะนี้เป็นอกุศลแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าเวลสติสัมปชัญญะเกิดก็จะรู้จะเห็นในสภาพซึ่งไม่ใช่เรา แต่เป็นอกุศล ซึ่งก่อนนั้นเคยรำคาญใจมาก เป็นเราบ้าง ทำไมเป็นอย่างนี้อย่างนั้น แต่ว่าเมื่อรู้ว่าขณะนั้น ลักษณะนั้นๆ ก็เป็นธรรม ก็จะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นถ้าปัญญาเกิดขึ้น และไม่คลายความไม่รู้ ไม่ใช่ปัญญา แม้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ฟังแล้วฟังอีก ถ้ายังไม่ค่อยๆ แม้แต่จะคลายสักเพียงเล็กน้อยโดยที่รู้ว่าสติคืออย่างไร สิ่งที่กำลังปรากฏทั้งหมดผ่านไป แล้วก็มีนิมิต มีสัณฐานของสิ่งนั้นเสมอ กับการที่สิ่งนี้ปรากฏ แล้วก็มีสิ่งนี้แหละ ไม่ได้ต่างกันเลยแม้เพียงเล็กน้อยนิดเดียวที่รู้ว่านี่ก็เป็นลักษณะของสภาพธรรม คนนั้นก็จะรู้ได้ว่าต่อไปก็จะมีการคลายความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งหลายคนก็กล่าวว่าแสนยากเพราะว่าเคยจำไว้ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคลมาโดยตลอด แต่ว่าหนทางที่จะคลายมีหนทางเดียวคือสติสัมปชัญญะที่ค่อยๆ รู้ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่ไปคลายโดยการทำอย่างอื่นเลย เพราะทำอย่างอื่นเพราะโลภะ ไม่รู้เลย ไม่เห็นเลยว่าขณะนั้นเป็นโลภะที่ต้องละ ทรงแสดงไว้ว่าสมุทัยคือโลภะเป็นสิ่งที่จะต้องละ แต่ไม่เห็น แล้วก็ไปทำด้วยโลภะ เพราะฉะนั้นจะรู้ความจริงได้ยังไง เป็นเรื่องการละคลาย


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 154


    หมายเลข 9712
    31 ส.ค. 2567