มีสิ่งที่ปรากฏกับนิมิตของสิ่งที่ปรากฏสลับกัน
ผู้ฟัง อยากจะถามถึงสภาพของอารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ คือมีความสงสัยว่าสิ่งที่ปรากฏทางตากับรูปารมณ์เป็นคนละอย่างใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา จะเรียกชื่อไหม จะเรียกอะไรก็ได้ แต่ว่าลักษณะจริงๆ ก็คือสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่าเมื่อมีสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้ว ก็จะไม่อยู่แค่เพียงสิ่งที่ปรากฏซึ่งเป็นรูปร่างสัณฐานเป็นสีสันวัณณะ โดยที่ว่าเมื่อปรากฏก็เป็นเพียงลักษณะที่สามารถปรากฏทางตาได้ แต่ว่าเมื่อสิ่งนั้นปรากฏแล้วจิตจะเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก เช่นในขณะนี้เห็นอะไร มีการทรงจำรูปร่างสัณฐาน และก็รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร ซึ่งขณะนั้นล่วงเลยขณะที่เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นจักขุวิญญาณ (จิตเห็น) จะเพียงเพียงอย่างเดียว คิดนึกไม่ได้ จะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรก็ไม่ได้ มีกิจเดียวคือเห็นสิ่งที่ปรากฏแต่เมื่อจิตนี้ดับไปแล้ว และรูปก็มีอายุที่สั้นมาก คือมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ลองคิดดูว่ารูปเล็กน้อย และก็เกิดดับเร็วแค่ไหน เพราะเหตุว่าขณะนี้เหมือนเห็นด้วยได้ยินด้วย แต่ปรากฏว่าขณะจิตเห็นกับจิตได้ยิน มีจิตเกิดดับเกิน ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นรูปจะดับเร็วสักแค่ไหน แม้เป็นรูปที่ปรากฏทางตา นี่คือความรวดเร็วของการเกิดดับของสภาพธรรม ซึ่งทำให้ไม่ปรากฏว่าเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรื่องราวใดๆ จากสิ่งที่ปรากฏเลย แต่ด้วยความไม่รู้ และด้วยการที่จำได้ทางใจ ไม่ใช่ทางตา คิดนึกเป็นเรื่องของใจว่าขณะนี้กำลังเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และก็เมื่อวาระทางใจดับไปแล้ว ทางตาก็เกิดสลับอย่างเร็วจนเหมือนไม่ดับเลย ทำให้ทันทีที่เห็นก็รู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร และก็อาจจะเข้าใจว่าเห็นคน เห็นโต๊ะ ลืมลักษณะของรูปารมณ์ซึ่งเป็นเพียงธาตุที่สามารถกระทบกับจักขุปสาท และจิตเห็นก็เกิดขึ้นเห็นชั่วขณะแล้วก็ดับไป แล้วจิตอื่นก็เกิดสืบต่อ แม้อย่างนั้น ๑๗ ขณะที่มีอายุสั้นมากก็ยังเป็นปัจจัยให้โลภะ หรือโทสะ หรือโมหะหรือกุศล หรือกิริยาจิตของพระอรหันต์เกิดได้ในระหว่างที่รูปยังไม่ดับ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเห็นอะไร มีสิ่งที่ปรากฏทางตาซึ่งใช้คำว่า “รูปารมณ์” เป็นอารมณ์ที่มีจริงสามารถปรากฏได้แต่อายุสั้นมาก ต่อจากนั้นก็มีการรู้สิ่งนั้นทางใจสืบต่อ เพราะฉะนั้นขณะนี้จริงๆ ถ้าจะกล่าวว่าเห็นอะไร อายุ ๑๗ ขณะของรูปที่เกิดแล้วก็ดับไป แต่ก็เกิดอีกซ้ำกันซ้ำกัน ไม่ใช่เราไปเจาะจงรู้รูปารมณ์ที่ยังไม่ดับ เพราะว่ายังไงๆ ก็ตามขณะนี้ก็เกิดแล้วดับแล้ว ก็มีการเกิดดับสืบต่อ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีก็คือนิมิตคือสัณฐานแสดงให้ปรากฏว่ามีรูปารมณ์ แต่ว่าเรื่องราวก็แทรกอยู่มากเลยในรูปารมณ์ พอเห็นก็เป็นผักสดรองเท้า เป็นอะไรทุกอย่าง ถ้าไปตลาดก็มีเรื่องของการคิดในสิ่งที่กำลังปรากฏมากมาย เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏกับนิมิตของสิ่งที่ปรากฏสลับกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าเราไม่ได้ศึกษา เราก็จะมีการทรงจำแต่เรื่องนิมิตของสัณฐานของสิ่งที่เกิดดับทั้งนั้นเลย เป็นเหมือนกับอวิชโชฆะ ทะเลของอวิชชาคือไม่รู้ความจริงตั้งแต่เห็นไปเลย และก็ได้ยินไปเลยทั้งวัน ก็ปรากฏเป็นเรื่องราวต่างๆ
ที่มา ...