กำลังฟังเรื่องราวของสิ่งที่มีจริงซึ่งขณะนี้ไม่รู้


    ผู้ฟัง ขณะที่ได้ยินขณะนั้นเป็นวิบาก

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณเป็นวิบากซึ่งมี ๑๐ เพราะเหตุว่าจักขุวิญญาณกุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ แต่ว่าเป็นกุศลวิบาก ๕ เป็นอกุศลวิบาก ๕ จึงเป็นจิตที่เป็นวิบาก ๑๐ ดวงที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ คือไม่มีโลภะ โทสะ โมหะเกิดร่วมด้วย เป็นวิบากที่กรรมทำให้เกิดขึ้นเห็น ได้ยิน เป็นต้น

    ถ้าพูดถึงฝ่ายอกุศลวิบาก ๕ ดวงแล้ว เหลืออีก ๒ ดวงเท่านั้นที่เป็นอกุศลวิบาก นอกจากนั้นแล้วในสังสารวัฏฏ์หรือโลกไหนๆ ก็ไม่มีวิบากเกินกว่านี้

    ผู้ฟัง หลังจากเห็นคือสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ เป็นกุศล อกุศล

    ท่านอาจารย์ วิบาก ต้องใช้คำว่า “วิบาก” ครบ ๗ แล้ว ถ้าเป็นฝ่ายอกุศลก็ครบ ๗ แล้วไม่เกินกว่านี้เลย

    ผู้ฟัง หลังจากนั้นแล้วก็เป็นโวฏฐัพพนจิต

    ท่านอาจารย์ เป็นกิริยาจิต

    ผู้ฟัง แล้วก็เป็นชวนจิต

    ท่านอาจารย์ ซึ่งเป็นกุศลหรืออกุศล

    ผู้ฟัง ซึ่งเป็นเหตุใหม่ใช่ไหม เหตุอยู่ตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ก่อนนั้นไม่ใช่เหตุ

    ท่านอาจารย์ จักขุวิญญาณก็ไม่ใช่เหตุ เพราะเป็นวิบาก ๑๐ ดวงนั้นไม่ใช่เหตุ สัมปฏิจฉันนะก็ไม่ใช่เหตุเพราะเป็นวิบาก สันตีรณะก็ไม่ใช่เหตุเพราะเป็นวิบาก ไม่มีเหตุเจตสิกเกิดร่วมด้วยเลยจึงเป็นจิตที่เรียกว่า “อเหตุกจิต” แต่พอถึงชวนกุศลหรืออกุศล ไม่ใช่อเหตุกะ การที่จะเป็นกุศลต้องมีโสภณเหตุเกิดร่วมด้วย การที่จะเป็นอกุศลต้องมี อโสภณเหตุเกิดร่วมด้วย

    ผู้ฟัง ที่เราได้ยินเสียงที่ไม่ดี แล้วก็เกิดไม่พอใจ ขณะที่ได้ยินก็เป็นโสตวิญญาณอกุศลวิบากที่เราได้ยินเสียงที่ไม่ดี ขณะนั้นทำชวนจิตทางปัญจทวารก็เป็นอกุศลใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ พระอรหันต์ไม่มีอกุศล

    ผู้ฟัง เป็นกิริยาจิต แต่กำลังยกตัวอย่างเมื่อสักครู่

    ท่านอาจารย์ ถ้าโทสมูลจิตจะเกิดก็เกิดในขณะที่โวฏฐัพพนจิตดับไป และโทสมูลจิตก็เกิด

    ผู้ฟัง ถ้าบุคคลธรรมดาก็เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่การสะสม

    ผู้ฟัง เพราะได้ยินเสียงไม่ดีก็ไม่พอใจ

    ท่านอาจารย์ คนที่สติสัมปชัญญะเกิดก็มี คือเราไม่สามารถที่จะรู้ความรวดเร็วการเกิดดับสืบต่อทางปัญจทวาร และทางมโนทวารได้ เราเหมือนกับอยู่ในโลกของความไม่รู้ เป็นแต่เพียงได้ยินได้ฟังเรื่องธรรม แม้แต่การเกิดดับสืบต่อทางปัญจทวาร และก็มีภวังค์คั่น และก็มีมโนทวาร ก็เหมือนกับเราอยู่ในโลกของความไม่รู้ จนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจึงชื่อว่าได้รู้จักสภาพธรรมที่เราได้ยินได้ฟังเพราะว่าขณะนั้นสภาพธรรมปรากฏกับปัญญา เราไม่จำกัดได้ไหมว่าหลังจากที่เห็นแล้ว ได้ยินแล้วจะเป็นอกุศลประเภทใดหรือกุศลประเภทใดก็แล้วแต่ ก็สามารถที่จะเกิดทำชวนกิจได้ หลังจากที่เห็น ได้ยินพวกนี้ดับแล้ว สัมปฏิจฉันนะทำสัมปฏิจฉันนกิจแล้ว สันตีรณะทำสันตีรณกิจแล้ว โวฏฐัพพนะเกิดขึ้นทำโวฏฐัพพนกิจแล้ว ต่อจากนั้นจะเป็นกุศล หรืออกุศล หรือกิริยาสำหรับพระอรหันต์ เราไม่จำกัดเพราะเราไม่รู้ เรื่องไม่รู้นี่ไม่รู้จริงๆ เรื่องฟัง กำลังฟังให้เข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ความไม่รู้ ยังไม่รู้อย่างนั้น เมื่อเป็นความรู้ ก็รู้อย่างนั้น นี่คือความต่าง กำลังฟังเรื่องราวของสิ่งที่มีจริงซึ่งขณะนี้ไม่รู้ความจริงนั้นเลย เป็นอย่างนี้ อย่างขณะที่เห็น


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 157


    หมายเลข 9754
    31 ส.ค. 2567