โลกของความไม่รู้คือไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นอย่างนั้น
ผู้ฟัง เพราะเราไม่รู้ความจริง ฟังแล้วเราก็บอกไม่ได้ว่าขณะนั้นจะเป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ให้เราบอก ข้อสำคัญที่สุดที่ฟังไม่ใช่ให้บอก ฟังแล้วไม่ใช่ให้บอก แต่กำลังให้เข้าใจว่าเราอยู่ในโลกไหน โลกของความไม่รู้ความจริง แต่กำลังฟังเรื่องของสิ่งที่เป็นจริงๆ จนกว่าสามารถจะรู้จักโลกของความจริงนั้นได้ตามความเป็นจริง เป็นอย่างนี้หรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็นอย่างนี้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่โลกที่จะไปรู้ลักษณะของภวังคจิต ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ หรือปัญจทวาราวัชชนะหรืออะไรเลย โลกนั้นเป็นอย่างนั้นที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ตามความเป็นจริง แต่โลกของความไม่รู้ไม่สามารถที่จะรู้อย่างนั้นได้เลย
แต่กำลังฟังเรื่องราวนั้นๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าไม่มีเรา และสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทีละเล็ก ทีละน้อยจนกว่าจะรู้ชัดว่าเป็นจริงตามที่ได้ยินได้ฟัง อย่างขณะนี้กำลังพูดถึงเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา โลกจริงๆ ก็คือว่าต้องมีจิตที่เป็นภวังค์เกิดก่อนเพราะว่าสิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ได้กระทบกับจักขุปสาท เพราะฉะนั้น ต้องเป็นภวังค์ และเมื่อภวังคจลนะไหว ภวังคุปัจเฉทะสิ้นสุดกระแสภวังค์ อาวัชชนจิตถ้าเป็นทางตาจะให้คำว่าจักขุทวาราวัชนนจิตก็ได้ นึกถึงหรือรำพึงถึงสีที่เกิดแล้วกระทบจักขุปสาท นี่คือโลกของความจริง
แต่โลกของความไม่รู้ก็คือไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นอย่างนั้น แต่กำลังฟังเรื่องนั้นเพื่อให้เข้าใจขึ้น และความเข้าใจก็จะรู้กำลังของเราว่าจะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน เข้าใจอย่างนี้เข้าใจไม่ได้แน่ แม้แต่เพียงขณะนี้ที่เหมือนเห็นตลอดเวลา
ที่มา ...