รู้ลักษณะว่าเป็นนามธรรมก่อนที่จะรู้ว่าเป็นโลภะหรือโทสะ
ท่านอาจารย์ อย่างเวลาที่เราเกิดความพอใจเกิดขึ้น เรามีความรู้สึกว่าเราชอบ แต่ว่าเห็นล่ะ มีหรือเปล่าขณะที่เราว่าเราชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด กำลังชอบกำลังเพลินก็มีเห็นมีได้ยินสลับ เพราะฉะนั้น ก็ไม่สามารถที่จะแยกรู้ขณะที่ต่างกันฉันใด การที่เราจะรู้ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับ ขั้นแรกเพียงสามารถที่จะเข้าใจในความเป็นนามธรรมของสภาพธรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นโลภะหรือโทสะ จะไม่มีการเรียกชื่อ หรือว่าจะไม่มีการรู้ความต่างซึ่งสลับกัน หรือว่าไม่ปรากฏ อย่างคำถามที่ว่าก็แสดงให้เห็นว่าก่อนอื่นที่เราจะไปกล่าวว่าเรารู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น สภาพธรรมนี้ หรือสภาพนี้เป็นอะไร เป็นโลภะหรือเป็นโทสะ หรือเราพอใจอย่างนั้นจะเป็นลักษณะของโลภะหรือฉันทะ ก็ต่อเมื่อเรารู้ก่อนว่าลักษณะนั้นเป็นนามธรรม และความละเอียดถึงจะค่อยๆ รู้เพิ่มขึ้น ก็เป็นการเพียงกล่าวตามความเป็นจริงตามที่ได้ทรงแสดงไว้ แต่ว่าไม่ใช่การสามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ แม้แต่ลักษณะของโลภะหรือโทสะซึ่งต่างกัน
ผู้ฟัง เข้าใจยากพอสมควร
ท่านอาจารย์ ก็มี และก็เกิดแล้วก็ดับไปหมดแล้วๆ ก็เกิดมาใหม่อีก แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วอีก แล้วเมื่อไหร่จะรู้จริงๆ ก็ต้องรู้ในลักษณะที่ปรากฏความเป็นนามธรรมหรือรูปธรรมก่อน เพื่อที่จะไม่ใช่เรา และนามธรรมที่รู้ก็หลากหลาย ลักษณะใดที่ปรากฏที่พอจะรู้ได้ก็รู้ได้
ผู้ฟัง ถ้าศึกษาธรรมในเรื่องรูปธรรม และนามธรรม ถ้าเป็นนามธรรมเราเข้าใจหรือยังว่าลักษณะของนามธรรมเป็นอย่างไร พอมาฟังวันนี้แล้ว ผู้ฟังเหมือนกับผมก็ต้องกลับไปทบทวนสิ่งที่ได้ฟังมาตั้งแต่ต้นใหม่
ท่านอาจารย์ เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ จากการฟังบ่อยๆ
ผู้ฟัง มันไม่เป็นรูปแบบ ก็เหมือนเป็นรูปแบบ
ท่านอาจารย์ รูปแบบอะไร
ผู้ฟัง ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด
ท่านอาจารย์ ก็ถูกต้อง แต่ไม่ใช่รูปแบบ มันเป็นอย่างนั้น ขณะนี้มีเห็น แล้วเราก็ใช้ชื่อทั้งภาษาไทย ภาษาบาลี จักขุวิญญาณ จิตรู้โดยอาศัยจักขุปสาท ลักษณะของจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เวลานี้สิ่งที่กำลังปรากฏ จิตเห็นแจ้งเลย รู้แจ้งเลยในสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็พูดเพื่อจะให้เข้าถึงสภาพธรรมที่กำลังเห็น เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เป็นธาตุรู้ ไม่ได้ทำหน้าที่อื่นเลย ในขณะนี้ที่กำลังฟัง เพราะฉะนั้นเวลาที่ฟัง แล้วก็ไม่ได้ระลึก ไม่ค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังทำหน้าที่อย่างนั้น ก็ไม่มีการที่จะรู้ลักษณะของสภาพจิตได้ เพียงแค่รู้เรื่องราวว่าจิตเป็นยังไง ทั้งๆ ที่ตั้งแต่เกิดจนตายก็เป็นจิตที่ไม่เคยขาดเลยแม้ขณะเดียวทำกิจหน้าที่ต่างๆ
ผู้ฟัง ด้วยเหตุนี้ท่านอาจารย์จึงกล่าวอยู่เสมอว่าถ้าผู้ใดสติเกิดก็จะรู้ทันทีเลยว่าในขณะที่หลงลืมสติ หรือขณะที่สติเกิดก็จะมีลักษณะของสภาพธรรมเกิดสลับคั่นกันในชีวิตประจำวัน
ท่านอาจารย์ กำลังรู้ลักษณะๆ ที่กำลังปรากฏ ชั่วขณะที่รู้ ไม่มีชื่อ ไม่มีคนไม่มีสัตว์ ไม่มีความคิดใดๆ เลยเพราะว่ากำลังมีเฉพาะลักษณะที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อย
ผู้ฟัง ถ้าเป็นชื่อขึ้นมาเมื่อไหร่ ขณะนั้นเลยลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ เป็นจิตที่คิด เปลี่ยนประเภทแล้ว
ผู้ฟัง เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่ก็ไม่เหลือวิสัยที่จะสะสม
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง มีผู้ที่อบรมแล้ว เจริญแล้ว รู้แจ้งสภาพธรรมแล้วมากมาย เพราะฉะนั้นผู้ฟังในขณะนี้ก็กำลังอบรมอย่างนั้นจนกว่าจะรู้แจ้งโดยที่ว่าไม่ไปมีความต้องการที่จะรู้ หรือไปเป็นพระโสดาบันอย่างรวดเร็ว เพราะขณะนั้นเป็นโลภะที่ทำให้เป็นความตั้งใจอย่างนั้น
ที่มา ...