เมตตา-โลภะ


    ผู้ฟัง การเจริญฌาน ขณะที่อยู่ในฌานก็คือข่มกิเลส ข่มนิวรณ์ได้ในขณะซึ่งข่มนิวรณ์ได้ มันก็จะเข้าว่าเพื่อตัวเองอีก ไม่ใช่เพื่อคนอื่นเหมือนกันหรืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่เกี่ยวกันเลย เพราะเหตุว่ากุศลจิตต้องมีอารมณ์ เช่นเดียวกับจิตทั้งหลายต้องมีอารมณ์ แต่อารมณ์ของกุศลจิตที่เป็นเมตตาโดยมีสัตว์บุคคลอื่นเจริญพรหมวิหาร หมายความว่ามีบุคคลอื่น และก็มีเมตตาต่อบุคคลนั้นๆ เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ว่าเราจะไปนั่งเจริญเมตตาพรหมวิหาร โดยที่ว่าชีวิตประจำวันของเราไม่ได้มีเมตตาเพิ่มขึ้นเลย เพราะจริงๆ แล้วเมตตาเป็นสภาพของจิตที่เป็นกุศลมากหรือน้อยใครรู้ไม่ใช่ว่าเรารักตัวแล้วก็อยากจะมีกุศลมากๆ นั่นไม่ใช่ แต่ขณะใดที่มีความหวังดีกับบุคคลอื่น อย่างเมื่อวานนี้ท่านเศรษฐีท่านก็มีความเชื่อเรื่องมงคลตื่นข่าว ท่านก็ไม่อยากจะให้คนอื่น แม้เป็นคนอื่นก็ไม่อยากจะให้เขาได้สิ่งที่ไม่ดี นี่คือเมตตาต่อบุคคลอื่น เพราะฉะนั้น ความเมตตาของเราๆ รู้ว่าจริงๆ แล้วเราเมตตาได้แค่ไหน เอาคนที่ใกล้ชิด เราเมตตาหรือรัก แค่นี้ก็จะแย่แล้วใช่ไหม ที่จะแยกเมตตากับรัก เพราะเหตุว่ารักนี่เป็นความติดข้อง หวังดีด้วยความรักๆ ด้วยความติดข้อง แต่จริงๆ รักหรือว่าเมตตา ถ้าเมตตาก็คือว่าขณะนั้นเสมอกัน จริงๆ รู้ว่าขณะใดเป็นความรักที่ติดข้องในบุคคลที่เราติดข้อง และขณะใดเป็นความเมตตาแม้ในบุคคลที่เราติดข้อง ไม่อย่างนั้นก็แยกไม่ออกระหว่างรักกับเมตตา คนที่อยู่ด้วยกัน พ่อแม่ พี่น้อง บุตร หลาน สามี ภรรยา ก็จะต้องมีขณะจิตที่ต่างกันเป็นอกุศล และเป็นกุศล คงจะไม่มีใครที่ไม่โกรธคนที่รัก แต่เวลาที่โกรธคนที่รัก ขณะนั้นมีเมตตาหรือเปล่า ถ้าไม่รักไม่โกรธ แต่ถ้าเมตตาแล้วไม่โกรธ นี่เป็นความที่ต่างกัน เพราะฉะนั้น กุศลกับอกุศลเป็นเรื่องที่ละเอียด ไม่ใช่ว่าใครบอกให้เราเจริญเมตตาก็เจริญ ใครบอกเมตตาตนก็เมตตาตัวเองใหญ่โดยไม่รู้ว่าเมตตาตัวเองขณะไหน เมตตาจริงๆ เมตตาตัวเองขณะไหน หรือว่ารักตัวเอง นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของความรู้ ด้วยเหตุนี้การอบรมเจริญกุศลจิตขั้นภาวนาต้องด้วยปัญญา และสติสัมปชัญญะ ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะเจริญสมถภาวนาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้อยู่ที่ท่อง แต่อยู่ที่สภาพจิต เราจะมีความรู้ว่าคนในบ้านมาก่อนเพราะว่าใกล้ชิดใช่ไหม เรารักหรือเมตตาต้องแยกขณะจิตก่อน และต้องรู้ว่าศัตรูใกล้ของเมตตาก็คือโลภะเหมือนเมตตาใกล้ชิดมากแต่ความจริงเป็นความติดข้อง ถ้าเมตตาจริงๆ ต้องเสมอกันไม่ว่าบุคคลจะเป็นที่รักหรือที่ชัง และก็จากบุคคลในบ้านใกล้ชิด บุตรหลาน ญาติพี่น้อง คนที่อยู่ร่วมบ้าน ผู้ที่ช่วยเหลือกิจการในบ้าน เราเมตตาเขาแค่ไหน ถึงจะไปแผ่ออกไปตั้งแสนไกล กายของเราหรือวาจาของเราที่มีต่อเขาด้วยเมตตาแค่ไหน ระดับไหน กาลไหน มากขึ้นหรือน้อยลง นี่ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่เพิ่มขึ้น แล้วเราจะไปเมตตาใครที่ไหนทั่วสารทิศถึงสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็เป็นไปไม่ได้เลย ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ความจริงใจด้วย เป็นแต่เพียงอยากจะได้กุศล และก็ไม่รู้ว่ากุศลคืออะไรเมื่อไหร่ ก็ทำทุกสิ่งด้วยความต้องการ เพราะฉะนั้น เราจะไม่รู้เลยว่าโลภะทำให้เรามีความเข้าใจผิด ความเห็นผิด เพราะเหตุว่ามีความติดข้องมากมายมหาศาล ทุกอย่างที่ทำไปด้วยโลภะที่จะอยู่ต่อไปในสังสารวัฏฏ์ แต่ขณะใดที่มีปัญญาเห็นโลภะตามความเป็นจริง เมื่อนั้นก็จะคลายโลภะได้ แต่ถ้ายังไม่เห็นโลภะ อย่างคนที่ทำกุศลก็เคลิบเคลิ้มหวังผลของกุศลขณะนั้นจะละสังสารวัฏฏ์ได้ไหมเพราะเหตุว่ากุศลอย่างนี้จะทำให้เกิดในชั้นไหน ชั้นดาวดึงส์มีสวนนันทวัน ชั้นดุสิตมีผู้ที่ปัญญาอะไรต่างๆ นี่ก็เป็นเรื่องที่มีความละเอียด ถ้าไม่เห็นโลภะ ก็ไม่สามารถที่จะละโลภะได้ และถ้าละโลภะไม่ได้ก็ไม่สิ้นสุดสังสารวัฏฏ์ เพราะว่าโลภะที่มีอยู่เป็นประจำจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด เห็นผิดด้วยแรงหรือด้วยกำลังของโลภะนั่นเอง ด้วยความต้องการ ไม่ใช่ด้วยความเห็นถูก


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 159


    หมายเลข 9777
    31 ส.ค. 2567