ไม่ใช่หลบหลีกเลี่ยง แต่อาจหาญที่จะรู้ว่านี่คือธรรม
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนี้ในวันหนึ่งๆ ที่เรานึกคิดถึง หรือว่าคาดหวังในบุคคลอื่น อันนั้นก็คือการคิดนึกของเราเอง
ท่านอาจารย์ แน่นอนๆ เดี๋ยวนี้ไม่มีใช่ไหม เพราะไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องใดที่มี ก็คือชั่วขณะที่มีจิตคิดเรื่องนั้น เรื่องนั้นก็มีในขณะนั้น
ผู้ฟัง แต่เราไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะนั้นคือเราคิด
ท่านอาจารย์ ต้องฟังพระธรรม ถ้าไม่ฟังพระธรรม ใครจะรู้ และฟังให้เข้าใจจริงๆ ด้วยเพื่อการละ ไม่ใช่เพื่อการต้องการที่จะรู้มากๆ แต่ว่าเพื่อละความไม่รู้ ละความติดข้องไปเรื่อยๆ
ผู้ฟัง มันเป็นเพราะเหตุปัจจัยที่ว่าเป็นกรรมของเราที่ว่าของจะหาย ก็คือหายไป แต่ว่าเราให้เขาก็แล้วกัน ถึงแม้เขาจะมีเจตนา แต่เราก็ให้เขา จะกราบเรียนถามว่า ถ้าเราคิดในแง่นี้ กรรมส่วนที่เขากระทำจะลดลงไหม
ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง เพราะว่า จิตไหนทำกรรม ไปลดจิตไหน ที่กรรมได้กระทำไปแล้ว เพราะฉะนั้นกรรมก็สะสมสืบต่อในจิตนั้นพร้อมที่จะให้ผลเป็นวิบาก ใครจะไปทำอะไรกับจิตอื่นได้ จิตไหนเป็นอย่างไรก็สะสมสืบต่อไปเป็นอย่างนั้น แล้วคุณสุกัญญาต้องการอะไรเวลาของหาย ต้องการให้ไม่โทมนัส หรือต้องการให้เกิดความคิดว่าเอาไปเถอะ ใครก็ได้ หรือว่าต้องการอะไร
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นคนตรง ความเสียดาย มีใครห้ามได้ ห้ามไม่ได้ เกิดแล้วปรากฏให้เห็นความเป็นอนัตตา แต่ไม่รู้ เป็นเราเสียดาย เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็เป็นธรรม ซึ่งไม่รู้ทั้งนั้นเลย ได้แต่ฟังเรื่องราวของธรรมโดยละเอียด เจตสิกประกอบเท่าไหร่ อะไรเท่าไหร่ แต่เวลาที่สภาพธรรมนั้นๆ กำลังเกิดขึ้นปรากฏเป็นไป แม้แต่ความเสียดายก็เกิดปรากฏให้รู้ลักษณะที่เสียดายก็เป็นเรา เพราะฉะนั้น ก็คือว่าต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า การฟังธรรมไม่ใช่ฟังเรื่องที่เราไม่รู้แต่เยอะมาก เป็นชื่อต่างๆ มากมาย แต่ต้องฟังให้รู้จุดประสงค์ว่า ฟังเพื่อให้เข้าถึงว่าความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทุกอย่างเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน จะไม่ให้เสียดายก็ไม่ได้ เสียดายก็เกิดแล้ว
เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งซึ่งเราอาจจะข้ามไป ก็คือไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดแล้วปรากฏ เป็นสิ่งที่เรากำลังพูดถึงอย่างละเอียดเลยในพระไตรปิฎก เพียงฟัง แต่ว่ายังไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น จนกว่าจะรู้ พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะเป็นจริงอย่างที่ได้ศึกษามาทั้งหมด แต่ว่าจะต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่ไปติดเรื่องราว อยากจะทำอย่างนั้น อยากจะให้ไม่เสียดาย อยากจะให้คิดว่าใครจะเอาไปก็เอาไปให้หมดหรืออะไรอย่างนั้น นั่นคือความคิด แต่จะกีดกั้นสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิด ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่ปรากฏแล้ว ไม่ใช่หลบหลีกเลี่ยง แต่อาจหาญที่จะรู้ว่า นี่คือสิ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นธรรมประเภทไหน ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ปัญญาไม่ใช่อื่นเลยอบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏว่าตรงตามที่ได้ฟัง ได้ศึกษามามากน้อยแค่ไหน ก็จะค่อยๆ เข้าถึงปฏิปัตติ ถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสภาพธรรม ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดแล้วปรากฏ เป็นของใคร ใครทำให้เกิด ไม่อยากให้เกิดก็ยังเกิด ตามเหตุตามปัจจัย เพื่อคลายความเป็นเรา ขั้นแรกที่สุดไม่ใช่ไปละคลายอะไรเลย นอกจากละความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นตัวตน
ผู้ฟัง ถ้าอย่างเราคิดว่าบุคคลทุกคน ไม่มีใครอยากจะเป็นคนไม่ดี เพราะฉะนั้นเขามีความขัดสนในชีวิต เขาจึงประพฤติปฏิบัติในความไม่ดี อย่างเช่นเป็นโจร หรือลักเล็กขโมยน้อย อันนี้ก็เป็นความคิดที่ยังไม่ตรง
ท่านอาจารย์ เขาก็จะต้องเป็นคนลักเล็กขโมยน้อยไปอีกในชาติหน้า เพราะว่าเขามีอกุศลที่สะสมไป เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดไม่ใช่ให้เขาสะสมอกุศลต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำไปแล้วนี่แหละก็จะให้ผล ก็คือเกิดอีก ก็เป็นคนทุกข์ยากอีก เมื่อทุกข์ยากอีก ก็ถือเอาของที่คนอื่นไม่ได้ให้มาเป็นของตัวอีก
ที่มา ...