จะทำอย่างไรเมื่อโทสะมีกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ฟัง ถามว่าเวลาที่โทสะมีกำลังน้อย และก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มันหมดหนทางที่จะช่วยตัวเอง
ท่านอาจารย์ ของจริง ตัวจริงทั้งหมด แต่ไม่รู้จริง เพราะฉะนั้นก็ยังมีความเป็นเราที่อยากจะไม่เป็นอย่างนั้นบ้าง หรือว่าทำไมเราไม่คิดให้ทัน ให้รู้ว่าขณะนั้นก็เป็นเพียงแต่สภาพธรรมแต่ละอย่าง ขณะนี้หมดแล้ว แต่ก็มีเหตุปัจจัย คือความจำที่จะทำให้คิดถึงอีก
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงไว้คือหนทางเดียวจริงๆ ไม่ใช่หนทางอื่นคือรู้ลักษณะของสภาพธรรม ตราบใดที่ยังไม่รู้ก็ยังเป็นเราที่วุ่นวาย เดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุขห้ามไม่ได้เลย แสดงถึงความเป็นอนัตตาจริงๆ รู้เพียงแค่นี้ว่าห้ามไม่ได้เลย ทุกอย่างเป็นอนัตตา ก็เกิดอีกตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่ให้ห้าม แต่ว่าสิ่งใดที่เกิดแล้วปรากฏ ที่เมื่อกี้นี้เรากล่าวถึง ไม่ลืมว่าเกิดแล้วปรากฏ เป็นสิ่งที่ควรจะเข้าใจถูกต้องในสิ่งนั้น แต่เวลานี้สิ่งนี้กำลังปรากฏอยู่นี้ แต่ใจเราคิดเรื่องอื่น ข้ามสิ่งที่กำลังปรากฏไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานก็เป็นทางเดียวจริงๆ ที่จะทำให้ขณะนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่ว่าเราคิดว่าแล้วจะไม่ให้เกิดอีก ไม่ให้แรงถึงขนาดนี้อีก ให้น้อยกว่านั้นอีก นั่นคือความหวัง แต่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ อาจจะมีการกระทำที่เกิดขึ้นสำหรับแต่ละคน ในแต่ละวัน โดยไม่ได้รู้ล่วงหน้าเลยว่าจะพูด จะทำ จะคิด อย่างนั้น แต่ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย
เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจธรรม ก็คือรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นจริงอย่างนั้น เมื่อสิ่งนั้นมีลักษณะอย่างนั้นเกิดขึ้น หนทางเดียวคืออะไร ถ้ายังไม่รู้ทางนี้ก็จะต้องเป็นความคิดหรือความต้องการ และก็พยายามไปพากเพียรที่จะไม่ให้เกิดโดยที่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย หนทางนี้คืออะไร หนทางเดียว คือสติปัฏฐานเท่านั้นเอง ไม่มีอย่างอื่นเลยในสังสารวัฏฏ์ ใครรู้ว่าชีวิตของแต่ละคนผ่านมามากน้อยแค่ไหน และจะมีอะไรเกิดขึ้นข้างหน้าอีก แม้ในชาตินี้หรือในชาติหน้าต่อๆ ไป
แต่จากตัวอย่างในพระไตรปิฏก ก็แสดงถึงชีวิตของแต่ละท่านที่เลือกไม่ได้เลย ในชาตินั้น และก็น่าอัศจรรย์มากเวลาที่มีเหตุที่ทำให้เกิดสภาพนั้นๆ อย่าง รัชชุมาลา ก็ถูกนายตบตีเตะต่อยศอกเข่าสารพัดจนกระทั่งโกนผมหมด ก็ยังเอาเชือกไปคาดไว้เพื่อที่จะรัด และก็ดึงมาทำร้ายร่างกาย ใครจะรู้ ใครจะหวัง ชาติก่อนนั้นก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาประสบอย่างนี้ คือไม่ห่วงใยว่าอะไรจะเกิดชาติไหน เพราะว่ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดต้องมีปัจจัยพร้อมที่จะให้เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เสียงที่กำลังปรากฏขณะนี้ เปลี่ยนให้เป็นเสียงอื่น เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ แม้แต่เห็น แม้แต่คิดนึกทุกอย่าง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ได้ฟังต้องเข้าถึงความหมาย เราได้ยินบ่อยๆ ทุกอย่างเป็นธรรม ผ่านไปแล้ว เหมือนเข้าใจแล้ว แต่เดี๋ยวนี้เป็นธรรมหรือเปล่า สังขารธรรม ธรรมที่จะเกิดต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งก็เกิดไม่ได้ สังขตธรรม ปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิด คือเดี๋ยวนี้ปรากฏให้เห็นว่าเกิดแล้ว ทั้งหมดก็คือการฟัง และก็ค่อยๆ เข้าใจ แม้แต่คำแรกๆ ที่เคยได้ยินก็จะสอดคล้องไปเรื่อยๆ จนถึงกาลที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถ้าไม่มีพื้นฐานอย่างนี้ที่มั่นคง สติปัฏฐานก็ไม่เกิดปัญญาก็ไม่สามารถจะรู้ความจริง ก็เป็นเรื่องราวไปตลอดชาติ และก็เป็นแต่เพียงการฟังด้วยการเข้าใจเรื่องราวเท่านั้น
ผู้ฟัง กำลังโกรธมากมีเหตุมีปัจจัย แล้วก็คิดไปอีกว่าโกรธอย่างนี้มีโอกาสที่จะต้องออกทางวาจา
ท่านอาจารย์ ก็คิดอีก
ผู้ฟัง ใช่ค่ะ แล้วก็ระลึกถึงว่าตอนนี้มีอย่างอื่นเกิด มีอย่างอื่นปรากฏไหม มันก็ไม่เคยมีในช่วงที่เรากำลังโกรธ มันไม่เห็นอะไรเลย
ท่านอาจารย์ เพราะไม่มีปัจจัยที่จะเกิดคิดอย่างนั้น แต่การฟังบ่อยๆ เราจะรู้ไม่ได้เลยว่าวันไหน สติระดับไหนจะเกิด แต่เมื่อมีปัจจัยก็เกิดได้ แต่ถ้าไม่มีปัจจัยเลยก็ไม่มีทางที่จะเกิด หรือถ้าปัจจัยไม่พอก็เกิดไม่ได้ เป็นธรรมดา และก็ไม่ใช่เราด้วย แล้วก็เกิดแล้วด้วย แล้วก็หมดแล้วด้วย และก็มีสิ่งที่ปรากฏที่ไม่รู้ เพียงแต่ฟังเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ ก็จะค่อยๆ รู้ว่า ที่จริงฟังเพื่อเข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏ ถ้าสามารถเข้าใจได้ทรัพย์สมบัติจะหายไปสักเท่าไหร่ก็ไม่เดือดร้อน เพราะว่าได้รู้ความจริงว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน
ผู้ฟัง จริงๆ ถามว่าเดือดร้อนไหม ก็ว่าโกรธมากกว่า
ท่านอาจารย์ โกรธก็คือเดือดร้อน เราไปจำแนกเองต่างหากว่าเป็นเรื่องเป็นราว ว่าเราเป็นทุกข์กังวลหรือเปล่า หรือว่าเพียงแค่หงุดหงิด ขุ่นใจ ขณะนั้นประกอบด้วยโทมนัสเวทนา ไม่สบายใจนี่แน่นอน
ผู้ฟัง ในช่วงนั้นพยายามคิดถึงว่าอภัยๆ ก็ไม่ได้เหมือนกัน
ท่านอาจารย์ ก็เป็นความพยายาม และก็เป็นความคิด จะคิดอย่างนั้นก็ไม่เหมือนกับการที่จะรู้ลักษณะนั้น ว่าไม่ใช่ตัวตน จะเริ่มเห็นคุณของสติปัฏฐานว่าเป็นหนทางเดียวจริงๆ ที่จะทำให้อะไรๆ ก็ไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ได้
ที่มา ...