ถ้าจิตใจยังขุ่นอยู่ ขณะนั้นก็ไม่ใช่ขันติ
ผู้ฟัง อาจารย์ช่วยกรุณาแยกระหว่างขันติกับเมตตา
ท่านอาจารย์ เวลาที่กุศลจิตเกิดในสัตว์ ในบุคคล ขณะนั้นก็เป็นเมตตา เพราะเหตุว่าเมตตานี่ต้องในสัตว์ ในบุคคล มีความเมตตา มีความเป็นมิตร มีความหวังดี เกื้อกูล กรุณาก็คือว่ามีความเห็นใจ เข้าใจในความทุกข์ของบุคคลอื่น มุทิตาก็เป็นการที่พลอยยินดีด้วยในสิ่งที่เขาได้รับจากผลของกรรมของเขา อุเบกขาก็คือไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งหมดเป็นญาติสนิท หรือมิตรสหาย ความรู้สึกก็เป็นไปในทางกุศล
เพราะฉะนั้น ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นเราคงไม่ต้องเรียกว่าเป็นอะไร แต่ให้ทราบว่า ขณะนั้นก็ต้องมีโสภณเจตสิกทั้งหมด ๑๙ ประเภทจะขาดประเภทหนึ่งประเภทใดไม่ได้เลย ขณะใดที่เป็นไปในสัตว์บุคคล ลักษณะของอโทสะนั้นก็เป็นลักษณะของเมตตาต่อบุคคลนั้น แต่ถ้าในขณะนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่เป็นอกุศลทั่วๆ ไป แล้วก็ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นอดทนที่จะไม่เป็นไปกับโลภะ หรือโทสะ หรืออกุศล
อ.ธีรพันธ์ ขันตินี่เป็นตบะ เป็นสภาพธรรมที่เผาปฏิปักษ์ธรรมตรงกันข้าม การที่จะมีสภาพธรรมนี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่อบรมฝึกรู้ตามความเป็นจริง เราจะสังเกตว่าขณะที่ขันติเกิด บางท่านอาจจะคิดว่าอดทนที่จะไม่กล่าว หรือว่าอดทนที่จะไม่ทำ แต่ว่าจิตใจยังขุ่นอยู่ ขณะนั้นก็ยังไม่ใช่ขันติ ถ้าขันติจริงๆ ขณะนั้นจะต้องเป็นสภาพธรรมที่เป็นโสภณเจตสิกทั้งหมดที่เกิดร่วมด้วย เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม
ที่มา ...