เหนือสิ่งอื่นใดคือปัญญา


    ผู้ฟัง ที่เรามาศึกษาธรรมก็เพื่อจะประกอบกรรมใหม่ เพื่อที่จะให้ผลที่จะเกิดในอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ถ้าเรามีอดีตซึ่งเราจะต้องได้รับผลของอกุศลวิบาก แต่ว่าปัจจุบันเราประกอบเหตุที่จะมีความประสงค์ได้เป็นกุศลวิบากในต่อไป มันจะสามารถที่จะทอนกำลังหรือว่าแบ่งปันกันได้บ้างไหม

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ประเสริฐสุดไม่ใช่เป็นเพียงความรู้สึกสุข ทุกข์ เพราะว่าวันหนึ่งๆ ทุกคนหวังสุข และก็ไม่ชอบทุกข์เลย คำถามเมื่อกี้นี้ก็คือ วิบากที่จะให้ผลเป็นทุกข์จะลดน้อยลงไปบ้างได้ไหม ใช่ไหม ส่วนวิบากที่เป็นสุข คงไม่ต้องการให้ไปทอนหรือไปตัด นี่ก็แสดงให้เห็นว่าความรู้สึกเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่เราคิดว่าสำคัญมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือปัญญา ถ้าเราได้สามารถเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรม เราจะกังวลไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะว่าปัญญาสามารถเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าไม่มีปัจจัยที่เหมาะสมที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น ต้องเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ปัญญาจะทำให้กุศลต่างๆ เจริญขึ้น ทั้งความอดทน เวลาที่ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็อดทนได้ หรือประสบกับสิ่งที่น่าพอใจก็ยังอดทนที่จะไม่ให้เป็นโลภะอย่างรุนแรงหรือว่าแล้วแต่กำลังของปัญญา และกุศลอื่นๆ ก็เจริญด้วย ไม่ใช่เพียงแต่เรื่องของการฟังธรรมหรือการที่จะอบรมเจริญปัญญา แต่ความเห็นถูกก็จะเป็นสังขารขันธ์ซึ่งจะนำมาซึ่งกุศลประการอื่นๆ เพราะมีความเห็นถูก

    ถ้าเรารักสุขเกลียดทุกข์ คนอื่นก็เหมือนกัน จะต่างกันยังไง แล้วเราจะไปเบียดเบียนเขาไหม เราไม่ได้ทำอกุศลกรรมแล้วเพราะเรารู้ เรามีเมตตาไหม เพราะเหตุว่าทุกคนจะรู้สึกอบอุ่นสบายใจถ้ามีเพื่อน มีคนที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูล มีความหวังดี เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะเป็นคนที่ช่วย แล้วก็เกื้อกูล แล้วก็มีความหวังดีต่อคนอื่นไหม ถ้าเรามีปัญญา เราก็จะรู้เลยมีความเข้าใจ ในความทุกข์ของคนอื่นซึ่งก็เป็นกรุณา คนที่มีความทุกข์หลายรูปแบบเหลือเกิน ชีวิตนี่ต่างกันมาก ทุกข์แต่ละชีวิตก็ต่างๆ กันไป แต่ก็เป็นทุกข์ ถ้าเราสามารถที่จะช่วยให้เขาคลายทุกข์ได้โดยกาย โดยวาจา หรือโดยความหวังดีซึ่งเป็นใจ ซึ่งจะทำให้การกระทำทุกอย่างเป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์ทั้งกับบุคคลอื่น และกับตนเองด้วย เพราะขณะนั้นเป็นจิตที่ไม่ใช่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่คิดถึงแต่ประโยชน์ของตน

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจ และเห็นประโยชน์ของปัญญา โดยเฉพาะออกจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้เลย กองทุกข์ทั้งมวล ทุกชาติ เมื่อเกิดมาแล้วมีใครบ้างที่ไม่เป็นทุกข์ แต่ว่าทุกชาติต้องเป็นอย่างนี้เรื่อยไป ออกไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้น ก็จะเริ่มเห็นประโยชน์ของปัญญา เห็นคุณของปัญญา เห็นพระคุณของพระรัตนตรัย ที่เราได้สะสมมาจนกระทั่งเป็นปัจจัยให้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ไตร่ตรอง ได้อบรม ได้เจริญขึ้น เพื่อละคลายอกุศลจนดับได้เป็นสมุทเฉท

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วงกังวลอดีตที่ได้ผ่านมาแล้ว ถ้าเป็นพระโสดาบันไม่เกิดในอบายภูมิ แม้ว่ากรรมนั้นมีโอกาสที่จะให้เกิดในอบายภูมิ แต่ด้วยคุณธรรมของพระโสดาบันพร้อมทั้งปัญญาที่สามารถที่จะดับกิเลส คือการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน และการสงสัยในสภาพธรรม ทำให้ไม่ใช่วิสัยที่ผู้ที่จะเป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี และจะเป็นพระอรหันต์ในวันข้างหน้าไปเกิดในอบายภูมิ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เราก็เห็นประโยชน์ของปัญญามากกว่าอย่างอื่น และก็สิ่งใดที่ผ่านไปแล้วก็แล้วแต่ เดี๋ยวนี้ขณะนี้ที่ทุกคนกำลังเห็น เพราะอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว จึงเห็นอย่างนี้เดี๋ยวนี้ ถ้าจะเห็นอย่างอื่นก็เพราะอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว ขณะนี้มีเสียงกำลังปรากฏเพราะอดีตกรรมที่ได้ทำแล้วทำให้เสียงนี้เกิดปรากฏ และจิตได้ยินเสียงนี้ นี่ก็คือว่า ให้เข้าใจจริงๆ ว่าทุกขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ต้องคิดถึงเรื่องราวใดๆ เพราะว่าตัวธรรมจริงๆ ขณะนั้นเป็นผลของกรรม ส่วนเรื่องราวก็เป็นการทรงจำ เป็นความนึกคิดในสิ่งที่ปรากฏ เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรื่องราวต่างๆ

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ไม่ควรกังวลก็คืออดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว กังวลที่นี่ก็คือว่าห่วงว่าจะเกิดไหม จะทอนไหม แต่ควรจะเห็นโทษของอกุศล ถ้าใครกำลังได้รับความลำบาก แน่นอน คนอื่นไม่ได้ทำให้เลย อดีตกรรมที่ทำแล้ว เพราะฉะนั้น กุศลกรรมเจริญเพราะปัญญา ก็จะทำให้ค่อยๆ ละคลายหรือลดกำลังของอกุศลซึ่งจะกระทำต่อไปโดยอกุศลนั้นไม่เกิด เพราะว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศล


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 167


    หมายเลข 9887
    3 ก.ย. 2567