ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่หวั่นไหว เพราะไม่มีเรา
อ.กุลวิไล มีจดหมายที่เขียนมาถึงท่านอาจารย์ๆ สอนว่าแม้จะทุกข์สาหัสมหาศาลเพียงใด ก็เป็นเพียงขณะจิตเดียว เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ในตอนนี้หนูยังไม่แจ้งหรอกค่ะ แต่บนกองทุกข์ที่ได้รับจะมีหิริโอตตัปปะ จะขัดเกลากิเลส จะโยนิโสมนสิการ ได้เห็นภัยของอกุศล ความอาฆาต ความจองเวร หนูระลึกอยู่เสมอว่า เมื่อได้สร้างเหตุแห่งความดีแล้ว จะไม่ขอ ย่อมให้ผลเมื่อถึงวาระ มีคำถามว่า อย่างนี้เรียกว่าการขัดเกลากิเลสใช่ไหม
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วผู้นั้นควรจะเป็นผู้ได้ทราบ ว่าเวลาที่อกุศลจิตเกิดแล้วก็ภายหลังกุศลจิตสามารถที่จะเกิดได้ ในขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นอกุศลจิตก็ไม่เกิด ก็เท่ากับว่าเป็นการค่อยๆ ละ ค่อยๆ ขัดเกลา จริงๆ แล้วธรรมสำหรับฟังพิจารณา และเป็นความเข้าใจของตนเอง
อ.กุลวิไล พูดถึงมรสุมชีวิตก็มีหลายท่านที่ประสบปัญหาเช่นนี้ กราบเรียนท่านอาจารย์ให้ข้อคิดคติอีกครั้ง
ท่านอาจารย์ ทั้งหมดก็ต้องเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องธรรมไม่ใช่เราแล้วก็เป็นอนัตตาด้วย คือบังคับบัญชาไม่ได้ สำหรับท่านผู้นี้ ท่านมีความเห็นถูกในเรื่องของกรรม เพราะรู้ว่าแต่ละคนก็มีกรรมเป็นของๆ ตน สิ่งใดก็ตามที่เป็นผลของกรรมที่เกิดในขณะนี้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะนั้นเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าชาติก่อนเราได้ทำกรรมอะไรไว้ เพราะว่าสิ่งที่เห็นก็มี ๒ อย่าง สิ่งที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจ สิ่งที่ได้ยิน (เสียง) ก็ ๒ อย่าง คือลักษณะที่น่าพอใจกับไม่น่าพอใจ ทางจมูก (กลิ่น) ก็มี ๒ อย่าง กลิ่นหอมกับกลิ่นเหม็น ทางลิ้นก็มีรสต่างๆ ทางกายก็มีการกระทบสัมผัส ขณะใดที่เจ็บปวด ไม่ใช่ว่าคนอื่นกระทำให้เลย แต่ว่ากรรมที่ได้กระทำไว้แล้วเป็นปัจจัยทำให้จิตซึ่งเป็นผลของกรรมคือวิบากจิตเกิดขึ้น รับรู้สิ่งที่กระทบกาย ถ้าเข้าใจในเรื่องของกรรม ผลของกรรม ก็ไม่มีเรา และก็ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าทุกข์เกิดขึ้นก็เป็นเพราะว่าได้กระทำกรรมแล้วในอดีตที่เป็นกรรมที่เป็นอกุศล ถ้าเป็นสุขเกิดขึ้น ก็เป็นผลของกรรมที่ได้ทำแล้วที่เป็นกุศล แต่ชั่วคราว ทั้งหมดไม่ว่าเป็นกุศลวิบาก อกุศลวิบาก จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว และก็เป็นไปตามสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่ง ไม่มีใครที่สามารถจะอยากให้กุศลธรรมเกิดมากๆ โดยที่ว่าไม่ได้สะสมกุศลไว้ก่อน แล้วก็หวังเพียงว่าวันนี้อยากให้มีกุศลมากๆ แต่ควรจะเป็นความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพื่อที่จะได้รู้จริงๆ ว่าแม้แต่คำแรกที่ได้ยินได้ฟังคือคำว่า “ธรรม” เรามีความรู้ความเข้าใจในคำนี้มากแค่ไหน เพราะว่ามีธรรมกำลังปรากฏให้เราได้เข้าใจถูกต้องว่าปัญญาความรู้ของเราอยู่ในระดับที่ต้องฟังอีก พิจารณาอีกจนกว่าจะค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะว่าพระพุทธศาสนามีถึง ๓ ขั้น : ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูงสุดๆ คือสามารถเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏโดยการประจักษ์แจ้งจากการที่ได้ฟัง และเข้าใจแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจธรรม ถ้ารู้ว่าเป็นธรรม จะโกรธอะไรธรรมๆ มีปัจจัยก็เกิดแล้วก็ดับไป แต่เพราะยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราก็ทำให้มีอกุศลประเภทต่างๆ เกิดขึ้น
ที่มา ...