อยากเป็นคนดีให้ใครๆ ชม


    ผู้ฟัง ถ้าสมมติว่าลักษณะของอกุศลเกิด แล้วเราระลึกได้ว่านี่เป็นลักษณะของอกุศล แต่เรายังมีความหนัก ความเดือดร้อนต่ออกุศลนั้น ก็แสดงว่าเรายังไม่มีสติระลึกสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่เป็นเราที่ระลึกถึงอกุศลที่กำลังเกิดขึ้นหรือ

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นเป็นอย่างนั้น เข้าใจถูกอย่างนั้น ก็สามารถจะรู้ว่าขณะหลงลืมสติกับขณะที่สติกำลังรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้นต่างกัน ปัญญาเป็นเรื่องที่ยาก ทุกคนหวังอยากจะให้เกิดมากๆ เกิดเร็วๆ แต่ต้องเป็นความเห็นถูกอย่างละเอียดที่จะต้องเข้าใจจริงๆ ในขณะที่สภาพธรรมนั้นเกิด ไม่ใช่ขณะอื่น ขณะเรียนนี่เข้าใจทุกอย่างเลย แต่พอสภาพธรรมนั้นเกิด ไม่เข้าใจแล้ว หายไปไหนแล้ว มีความเป็นเราที่อยากจะเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนี้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าต้องอาศัยการฟังตลอดไป จนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ แม้เป็นพระอรหันต์แล้ว พระอรหันต์ทั้งหลายก็ยังฟังพระธรรมต่อไป เพื่อที่จะรักษาพระธรรม มีท่านผู้หนึ่ง ท่านก็บอกว่าตอนบ่ายๆ ท่านจะต้องนอน แล้วก็ท่านก็จะกลับไปนอน เสร็จแล้วกุศลจิตก็เกิดขึ้น ฟังดีกว่าหรืออะไรประเภทนี้ เดี๋ยวกุศล เดี๋ยวอกุศลอยู่ตลอดเวลา ก็แสดงให้เห็นว่าในที่สุดอะไร ชนะ ทั้งๆ ที่ฟังแล้วรู้แล้วทุกอย่าง กลับไปนอน นี่ก็เป็นเรื่องที่ปกติธรรมดา เพราะฉะนั้น เราจะเข้าใจความหมายของ “พละ” หรือ “กำลัง” หิริโอตตัปปะ ความละอายต่ออกุศลไม่ต้องอกุศลอะไร ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ถ้าเราไม่มีความละอายจริงๆ เราไม่ฟังหรอก เพราะเหตุว่า ไม่รู้ก็ไม่รู้ ไม่ละอาย แต่เพราะเหตุว่าไม่รู้แล้วไม่ควรที่จะไม่รู้ต่อไป ประโยชน์อะไรที่จะไม่รู้ในเมื่อมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมให้เราสามารถเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังฟังพระธรรมไม่มีใครรู้เรื่องสังขารขันธ์ทั้งหลายซึ่งเป็นเจตสิกแต่ละประเภท คือทั้งหิริ ทั้งโอตตัปปะ ทั้งอโทสะ อโลภะ ตัตตรมัชฌัตตตา อะไรทั้งหมดที่เป็นฝ่ายโสภณเกิดพร้อมกับกุศลจิตแล้วก็ดับพร้อมกัน เพราะฉะนั้น เราจะไม่รู้เลยแต่อาศัยขั้นฟัง แต่ขั้นฟังทำให้เราค่อยๆ มั่นคงในความที่ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ลองเปรียบเทียบถ้าเราคิดว่าเราทำได้ มีกุศลเยอะๆ แทนอกุศล แต่เป็นเรา กับการที่เราจะรู้ความจริงว่าบังคับบัญชาไม่ได้เลย แม้แต่ความคิดที่แต่ละคนก็กำลังคิดต่างๆ กันในขณะนี้ ก็เกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง เจตสิกทั้งหลายที่เกิดพร้อมจิต คิดถึงความวิจิตรของนามธาตุจะน่าอัศจรรย์ จิตก็เป็นนามธาตุชนิดหนึ่ง เจตสิกแต่ละชนิดก็เป็นนามธาตุแต่ละชนิดซึ่งเกิดพร้อมกันได้ยังไง คิดดู สหชาตปัจจัย นี่คือผู้ที่ได้ทรงแสดงพระธรรม ทรงแสดงความละเอียดถึง ๑ ขณะจิต และก็แสดงความเป็นปัจจัยต่างๆ ซึ่งถ้าไม่คิดนี่เป็นเราจะอัศจรรย์ไหม ไม่อัศจรรย์เลย จิตเห็นเกิดขึ้นก็ธรรมดา แต่จิตเห็นไม่ใช่เจตสิก เป็นใหญ่เป็นประธานกำลังรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ และก็ยังมีนามธาตุซึ่งก็ไม่มีใครไปบังคับหรือว่าไปบอกให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่นามธาตุนั้นต้องเกิดกับจิต มีปัจจัยแล้ว อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าธรรมระดับขั้นฟังไม่ใช่การเข้าถึงลักษณะของธาตุหรือของความเป็นจริง ของสภาพธรรมนั้น จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ สมบูรณ์ แม้แต่ขณะที่ฟังก็เริ่มเข้าใจในความเป็นธาตุในการอาศัยกัน และกันเกิดขึ้นในการที่จะรู้ว่าเวลาที่อกุศลจิตเกิดขณะนั้นแล้วแต่ว่าปัญญาระดับไหน ปัญญาขั้นที่เห็นว่าเป็นอกุศล ขณะนั้นก็มีความคิด หรือว่ามีความตั้งใจ มีการสมาทานที่จะไม่กระทำทุจริตกรรมต่างๆ นั่นก็ระดับหนึ่ง แต่ว่าขณะที่สามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นลักษณะของธรรม เพราะจริงๆ แล้ว ตั้งแต่เกิดจนตายมีแต่ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏได้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น อยู่ตรงนี้ เรายังอยากจะเป็นคนดี ใครๆ ก็ชม แต่ไม่รู้ความจริง หรือว่าอยากจะเข้าใจความจริง ซึ่งถ้าเมื่อเข้าใจเมื่อไหร่ ทุกคนจะเห็นอกุศลมากกว่ากุศล ซึ่งถูกต้อง ทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท ว่าเราจมอยู่ในอกุศลมานานแสนนาน


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 168


    หมายเลข 9915
    3 ก.ย. 2567