ความรู้ขั้นฟังต่างกับขั้นประจักษ์แจ้งอย่างไร
อ.ธิดารัตน์ ข้อความใน ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่มที่ ๑๑ ของมหามกุฏ บทว่าคัมภีรคำว่ามีที่ตั้งอันญาณของบุคคลอื่นหยั่งไม่ได้ ยกเว้นพระตถาคต เหมือนมหาสมุทรอันจงอยปากยุงหยั่งไม่ถึงฉะนั้น
ท่านอาจารย์ เหมือนมหาสมุทรอันจงอยปากยุงหยั่งไม่ถึง ทุกคนหรือเปล่า นี่คือข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ถ้าเราประมาท เราก็คิดว่าเราเข้าใจธรรมมากแล้ว แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย สิ่งที่ดูเป็นธรรมดา ความลึกซึ้ง ถ้าได้รู้แจ้งความจริงก็จะต่างกับเพียงฟังซึ่งอุปมาเหมือนมหาสมุทรซึ่งจงอยปากของยุงหยั่งไม่ถึง เพราะฉะนั้น ก็อดทนต่อไปที่จะเป็นผู้ตรงที่จะรู้สภาพธรรมตามความจริง แม้ว่าจะได้ฟังก็ตามแต่ๆ ความห่างไกลของระดับขั้นของการฟัง และเริ่มเข้าใจ กับการประจักษ์แจ้งก็ต้องไกลกัน และโดยเฉพาะผู้ที่แสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ใครจะหยั่งถึงความหมายได้ทั่วถ้วน เพียงแต่ว่ากำลังสติปัญญาของใครที่สะสมมาระดับไหนก็สามารถที่จะเข้าใจได้ในระดับนั้น ถ้าไม่พิจารณาบางประโยชน์ที่บางท่านกล่าวก็อาจจะเข้าใจผิดได้ บางท่านๆ อาจจะกล่าวว่าขณะนี้ท่านไม่หวังที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม นอกจากอบรมเจริญความรู้ความเข้าใจจริงๆ ในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ คนอื่นฟังอาจจะคิดว่าท้อถอยแล้วคนนี้ ทำไมไม่ไปเพียรมากๆ ทำอะไรที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ความจริงพระธรรมทั้งหมดทรงแสดงให้ละโลภะ แต่ก่อนนั้นบุคคลนั้นไม่รู้เลยว่ามีโลภะระดับไหนที่คิดว่าจะตั้งอกตั้งใจทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมแต่ไม่ใช่หนทาง ไม่มีวันที่จะรู้ความจริงได้เพราะว่าถ้ารู้ความจริงก็คือรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ สามารถที่จะคลายความไม่รู้ในความหมายของคำว่า “รูปารมณ์” สิ่งที่กำลังปรากฏทางตากับการที่คิดนึกสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ถ้าค่อยๆ เข้าใจขึ้นแม้ว่าจะเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เริ่มเข้าใจถูกในลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นแต่เพียงธาตุหรือสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏได้เพราะกระทบกับจักขุปสาท ก็จะค่อยๆ คลายการยึดมั่นว่ามีคน มีสัตว์จริงๆ เพราะว่าเห็น แต่ความจริงเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็จำ แล้วก็คิดนึก มั่นคงว่ามีสิ่งนั้นสิ่งนี้จริงๆ จนกว่าจะรู้ ค่อยๆ รู้ทีละนิดทีละหน่อย เมื่อไหร่ก็ได้ขณะไหนก็ได้แล้วแต่ปัจจัยปรุงแต่ง นี่ก็คือความเข้าใจของคนจะต่างกันว่าบางคนคิดว่าถ้าบอกว่าชาตินี้ก็เพียงแต่จะอบรมความรู้ ความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น นี่แสดงว่าโลภะที่เคยหวังไว้มากๆ และค่อยๆ ลดลงไปแล้วตามความเข้าใจถูก มิฉะนั้นก็จะมีแต่โลภะที่จะทำให้เห็นผิดเข้าใจผิดตลอดไป นี่ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าเข้าใจจริงๆ จะรู้ความหมายที่ทรงแสดงว่าพระธรรมทั้งหมดเพื่อละ แต่ว่าต้องรู้จริงๆ ว่าละอะไร สิ่งที่ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ด้วยโลภะก็ไปเข้าใจว่าจะเกิดขึ้นได้ เช่น การรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ
ที่มา ...