ทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เมื่อมีปัจจัยก็เกิด


    ผู้ฟัง บางทีเราอาจจะไปเจอบุคคลที่ไม่เป็นมิตรกับเรา อาตมาเคยลองกับตัวเองว่า คนๆ นี้ไม่เป็นมิตรแก่เราๆ ไม่ชอบเขาๆ ก็ไม่ชอบเรา เกิดมาคุยกันก็มาทำเป็นกระมิดกระเมี้ยน ทำเป็นมายาทดีก็จริง แต่โทสะก็เกิดขึ้นตามมาตลอด เราระลึกถึงสภาวะคือโทสะอยู่ อาจารย์ก็เลยบอกว่าเราควรจะหลีกเลี่ยงห่างวัตถุที่เป็นอาฆาตวัตถุออกไป อกุศลจิตของเราจะได้ไม่เกิดขึ้น เมื่ออกุศลจิตไม่เกิดขึ้น โอกาสที่เราจะเจริญศีล สมาธิ ปัญญา หรือให้ทาน รักษาศีล เจริญบุญกิริยาวัตถุก็จะง่ายกว่าที่จะไปเจอสิ่งที่เป็นอาฆาตวัตถุหรือไม่เป็นมิตรกับเรา

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครทราบได้ว่าขณะต่อไปจะเห็นอะไร พระคุณเจ้าจะไปที่โน่นก็คงจะไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ผู้ที่ได้รับภัยพิบัติ ก็ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อนเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างให้ทราบว่ามีปัจจัยก็เกิด และสำหรับเรื่องของการช่วยเหลือ การช่วยบุคคลอื่นเป็นกุศลจิต แต่ว่าผู้รับพร้อมที่จะรับสิ่งที่เราช่วยหรือเปล่า เพราะว่าความทุกข์มีหลายรูปแบบ ทุกข์ไม่มีที่อยู่อาศัย และทุกข์อะไรๆ อีกเยอะแยะเลย เพราะฉะนั้น เราก็จะเห็นได้ว่าการช่วยเหลือของแต่ละบุคคลตามความถนัด และตามความสามารถ ผู้ใดมีความสามารถในเรื่องของการสร้างที่พักก็ช่วยในเรื่องนั้น ผู้ใดมีความสามารถที่จะสะสมอุปกรณ์ต่างๆ ที่จะบริจาคก็ช่วยเรื่องนั้น เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็มีกุศลจิตตามความถนัด ถ้าเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจธรรม ก็จะมีความเข้าใจว่าช่วยคนอื่นถ้าเขายังมีความเห็นผิดหรือว่ามีความไม่รู้ ช่วยเท่าไหร่ก็ไม่จบ เพราะว่ายังคงมีความเห็นผิดต่อไป และก็ยังคงมีอกุศลต่อไปซึ่งจะทำให้ทำอกุศลกรรมซึ่งเป็นเหตุให้เขาต้องได้รับอกุศลวิบากซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกภพทุกชาติ เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าบุคคลใดพร้อมที่จะฟังสิ่งที่มีเหตุผล เราก็อาจจะสนทนากับเขา แต่เรื่องการช่วยเหลือ ถ้าเราจะเอาพระคัมภีร์มาอ่านหรือพูดเรื่องราวแบบเทศนาก็อาจจะไม่สามารถทำให้เขาเข้าใจขณะนั้นได้มากตามสมควร เท่ากับสิ่งที่เขากำลังเป็น เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นการสนทนาธรรมในเรื่องที่เขาพร้อมที่จะเข้าใจได้ในขณะนั้น เช่นทุกคนไม่มีใครหวังว่าสิ่งที่ร้ายๆ จะเกิดขึ้น แต่ว่าทุกคนเมื่อมีกรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อกรรมนั้นถึงกาลที่ให้ผลก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างของผู้ที่ได้รับภัยพิบัติร่วมกันมีนานาอาชีพ นานาวัย ต่างกันไปโดยประการต่างๆ เมื่อถึงกาลที่กรรมของแต่ละบุคคลจะให้ผลก็ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้เลย นี่ก็ค่อยแสดงให้เขาเห็นความจริงว่าทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เขาก็จะเริ่มเข้าใจความหมายของอนัตตา และก็ยังแสดงให้เห็นว่าการที่เมื่อมีภัยพิบัติเกิดขึ้นแล้ว แต่ละคนได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน บางคนก็รอดชีวิตได้แต่ก็มีบาดแผลมีอะไรต่างๆ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงการให้ผลของกรรมของแต่ละคนก็ต้องต่างกันไป ถ้าสามารถที่จะทำให้เขาเข้าใจถูกต้องในเรื่องของกรรม และผลของกรรม ก็จะทำให้เขาค่อยคลายการที่จะเศร้าเสียใจว่าทำไมเขาถึงได้รับผลอย่างนี้ โดยที่เขาไม่รู้ว่าเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ต้องพร้อมทั้งผู้รับ และผู้ให้ด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่เขาไม่สามารถจะอยู่ในฐานะที่รับฟังอะไรได้ กำลังทุกข์โศกอย่างสาหัสถึงกับจิตแพทย์ ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของยา หน้าที่ของหมอ นี่ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนซึ่งถ้ามีกุศลจิตจะช่วย ก็ช่วยตามกำลังด้วยปัญญาที่รู้ว่าเขาสามารถจะเกิดความเข้าใจถูกต้องได้แค่ไหน แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ทุกข์ก็มาซ้ำแล้วซ้ำอีกทับถมไม่เรื่องนั้นก็เรื่องนี้ แต่ถ้ามีปัญญาขึ้น ไม่ว่าทุกข์ใดๆ จะมาในรูปแบบใด เขาก็สามารถที่จะมีความเข้าใจถูกได้ ก็ตามฐานะของแต่ละบุคคล ตามเพศด้วยว่าเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 169


    หมายเลข 9927
    1 ก.ย. 2567