คุ้นเคยกับทางฝ่ายกุศลๆ ก็จะมีกำลังขึ้น


    ผู้ฟัง เมื่อกี้นี้ที่ผมบอกว่าวางแผนล่วงหน้า คิดแผนล่วงหน้า ถ้าโกรธแล้วให้คิดอย่างนั้น แก้อย่างนี้ เราก็พยายามวางแผนล่วงหน้า คิดล่วงหน้า ในที่สุดก็มาเจอปัญหาที่ว่าไปไม่รอด ก็เหลือตรงที่ว่าต้องมีปัญญาเท่านั้นเอง ซึ่งมันก็วางแผนไม่ได้อยู่ดี คล้ายๆ อย่างนั้นใช่หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะนั่นเป็นเราคิด เราเตรียม แต่ถ้าเป็นความเข้าใจก็อบรมความรู้ความเข้าใจขึ้นพร้อมที่จะรับทุกสถาการณ์ ที่เราคิดเราเตรียมด้วยความเป็นเราอาจจะเพียงบางสถานการณ์เท่านั้น แล้วก็จะเป็นไปอย่างนั้นได้หรือไม่ก็ไม่แน่ แต่ข้อสำคัญที่สุดก็คือว่าขณะนั้นมีเจตนาเจตสิก มีความตั้งใจ มีความจงใจ ถ้าเรามีอธิษฐานมีความมั่นคงที่จะเป็นคนดีที่พร้อมที่จะอภัย พร้อมที่จะเป็นเพื่อน มีความเป็นมิตร เป็นเมตตา ถ้ามีความตั้งใจที่มั่นคง เราก็ไม่ลืมใช่ไหม ก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น เพราะเหตุว่า ขณะนั้นเป็นเจตนาเจตสิกที่ตั้งไว้ในฝ่ายกุศล แต่ว่าเวลาอกุศลเกิดก็คือขณะนั้นมีปัจจัยที่เจตนาทางฝ่ายอกุศลก็จะเกิด สำคัญที่สุดคือให้รู้ว่าธรรมเป็นอนัตตา ไม่เป็นของใคร ไม่มีใครมีอำนาจสั่งเตรียม แต่ว่าเป็นไปตามสังขารขันธ์คือการสะสม

    ผู้ฟัง จะไม่ดีกว่าหรือที่คิดไว้ล่วงหน้า ถ้าโกรธจะทำยังไง

    ท่านอาจารย์ ในขณะนี้คิดได้

    ผู้ฟัง แต่พอเจอเข้าจริงๆ จะไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่เหตุการณ์

    ผู้ฟัง ก็ยังดีกว่าไม่คิดไว้ล่วงหน้าไม่ใช่หรือ

    ท่านอาจารย์ ก็แล้วแต่ปัญญาๆ กับเจตนา อย่างไหนจะเป็นไปได้ เพราะเจตนาเกิดกับอกุศลก็ได้ เกิดกับกุศลก็ได้ แต่ปัญญาต้องเป็นฝ่ายโสภณ ความเห็นถูกความเข้าใจถูกในประโยชน์ของกุศลธรรมๆ ไม่ทำร้ายใครเลย เรานี่ไม่ถูกใครทำร้ายเลย นอกจากอกุศลซึ่งเป็นอกุศลเจตสิกเกิดเมื่อไหร่ก็ทำร้ายเมื่อนั้น ถ้ายังไม่เห็นโทษของอกุศลธรรมก็มีเยอะ แต่ถ้าเห็นโทษ ปัญญาเขาก็เกิดขึ้นปรุงแต่งไป แม้แต่กำลังคิดอย่างนี้ก็คือการปรุงแต่งของการได้ยินได้ฟัง

    ผู้ฟัง ถ้าจะใช้สภาวะปัจจุบันจะใช้ยังไงได้ ไม่คิดล่วงหน้า จะเอาตา หู จมูก ลิ้น กาย จะช่วยยังไงให้โทสะลดลงได้

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้จะเป็นกุศลระดับไหนที่ถาม ถ้าเป็นระดับความสงบของจิตก็คือขณะนี้ทุกคนที่นี่มีกุศลจิตที่เราอนุโมทนาได้ ขณะนี้ก็เป็นกุศลแล้ว มีความเป็นมิตรไหม มีอะไรที่เราพอจะช่วยใครได้ก็ช่วยทันที หยิบช้อน หยิบซ่อมหรือว่าด้วยกายด้วยวาจาขณะนั้นก็เป็นการสะสมธรรมฝ่ายกุศลที่จะทำให้คุ้นเคยกับทางฝ่ายกุศล และก็มีกำลังขึ้น ถ้าเป็นเรื่องของปัญญาก็คือฟังให้เข้าใจ แม้ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังพิจารณาไตร่ตรอง เห็นประโยชน์ของกุศล กุศลจิตขณะนั้นก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดที่แสดงว่าเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าเมื่อเกิดต้องเกิดตามเหตุ และปัจจัย เพราะฉะนั้น สัตว์โลกเป็นที่ดูบุญ และบาปตามการสะสมที่สะสมมาแล้วก็เป็นแต่ละคน และก็ยังเป็นการดูผลของบุญ และบาปด้วย นี่ก็คือปัญญา ที่เรารู้ว่าไม่มีใครที่จะเป็นผู้บงการหรือบังคับบัญชาได้


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 172


    หมายเลข 9969
    3 ก.ย. 2567