สังเวชนีย - พระบรมสารีริกธาตุ


    สำหรับพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และได้ทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว มีพระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ นอกจากพระธรรมที่เป็นศาสดาแล้ว ในโลกนี้ยังมีสถานที่ซึ่งเป็นสังเวชนียสถาน เป็นสถานที่ที่พุทธบริษัทจะระลึกถึงพระผู้มีพระภาคด้วยจิตที่เป็นกุศล เพราะว่าได้เข้าใจธรรม คือ ธรรมทั้งหลายเมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป

    ทุกคนต้องจากโลกนี้ไป และบางท่านที่บางขณะระลึกถึงความตาย ก็อาจจะระลึกว่า จะไม่เห็นโลกนี้อีกต่อไป เมื่อตายแล้วจะไม่เห็นโลกนี้อีก โลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในแต่ละวันๆ ผู้นั้นไม่สามารถรู้เห็นอีกต่อไปได้ เมื่อจากโลกนี้ ไปแล้วก็ไปสู่โลกอื่น เป็นบุคคลอื่นทันที

    ถ้าจะกล่าวถึงโลกที่เราอยู่ในขณะนี้ว่า มีอะไรบ้างที่ควรค่าแก่การเห็น เพราะเหตุว่าการเห็น ไม่ว่าจะเกิดในที่หนึ่งที่ใด ในภพภูมิใด จะเป็นในสวรรค์ หรือ ในมนุษย์ การเห็นก็เหมือนกัน คือ มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา การเห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส ทุกภพทุกชาติเหมือนกัน แต่สำหรับผู้ที่เกิดในโลกมนุษย์ในยุคนี้ ในกัปนี้ ในสมัยนี้ มีสถานที่ที่จะทำให้เมื่อเห็นแล้วเกิดกุศล ระลึกถึงพระคุณ ซึ่งโลกอื่นแม้สวรรค์ก็ไม่มี คือ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ได้แก่ สถานที่ประสูติของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สถานที่ทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ สถานที่ทรงแสดงพระปฐมเทศนา และสถานที่ทรงดับขันธปรินิพพาน ซึ่งในสวรรค์หรือในพรหมโลกก็ไม่มีสถานที่เหล่านี้ แต่ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา จึงจะเห็นความเป็นสังเวชนียะของสถานที่เหล่านั้นได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีปัญญาแม้จะยืนอยู่ที่ประตูของพระวิหารเชตวัน ก็ไม่สามารถรู้คุณของสถานที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงประทับเป็นเวลานาน และทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้พุทธบริษัทได้พ้นทุกข์ด้วยการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    สำหรับผู้ที่มีโอกาสที่จะได้ไปนมัสการสังเวชนียสถาน ก็ไม่ควรที่จะเพียงไปเห็นเท่านั้น แต่ควรมีกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญาที่จะพิจารณาเพื่อที่จะให้เห็นความเป็น สังเวชนียะของสถานที่เหล่านั้น เช่น สถานที่ประสูติ

    การเกิดเป็นของธรรมดา เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น และทุกคนก็ได้เกิดมาแล้ว นานแล้วด้วยในแสนโกฏิกัปป์ และเมื่อตายแล้ว ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็ต้องเกิดอีก เพราะฉะนั้น การเกิดโดยทั่วๆ ไป เป็นของธรรมดาที่ตายแล้วต้องเกิดอีก แต่สำหรับผู้ที่เกิดแล้ว และเป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ย่อมไม่ใช่ของธรรมดา กว่าที่ชีวิตจะอบรม เจริญปัญญาบารมี เกิดแล้วเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์มานานแสนนานจนกว่าจะถึงการเกิดครั้งสุดท้าย เพราะฉะนั้น ที่เกิดครั้งสุดท้ายย่อมเป็นที่ที่ควรจะได้น้อมระลึกถึงพระคุณที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป และสถานที่นั้น เป็นที่เกิดซึ่งจะไม่มีการเกิดอีกต่อไป

    ที่ประสูติครั้งสุดท้าย คือ ลุมพินีวัน ท่านที่จะได้ไปนมัสการที่นั่น ก็จะได้น้อมระลึกถึงพระบารมีที่ได้ทรงบำเพ็ญ ๔ อสงไขยแสนกัป

    อีกที่หนึ่ง คือ สถานที่ที่ทรงตรัสรู้ในอดีต คือ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ถ้าท่านผู้ฟังจะน้อมระลึกถึงสถานที่ที่ทรงตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา พระโพธิสัตว์ ผู้ทรงเป็นปุถุชนเพราะเหตุว่ากิเลสทั้งหลายยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท แต่เมื่อได้ย่างพระบาท ไปประทับอยู่ ณ โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในวันนั้นทรงสามารถที่จะสิ้นสุดความเป็นปุถุชนดับกิเลสหมดเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    จะเห็นได้ว่า ถ้าได้ไปถึงสถานที่นั้นแล้ว ถ้าน้อมระลึกถึงรอยเท้าในอดีต จะมากมายสักแค่ไหน ก่อนที่พระองค์จะประทับนั่ง และเมื่อตรัสรู้แล้ว หลังจากที่ได้ทรง แสดงธรรมจนกระทั่งปรินิพพานแล้ว ผู้ที่ได้ไปนมัสการยังสังเวชนียสถาน คือ สถานที่ตรัสรู้ ทุกก้าวย่างให้ทราบว่า มีรอยเท้าของผู้อื่นซึ่งได้ผ่านไปนมัสการในอดีต จนถึงปัจจุบันนี้นับไม่ถ้วน และยังจะต่อๆ ไปอีก เพราะว่าเป็นสถานที่ซึ่งไม่ใช่ที่ธรรมดา แต่เป็นที่ที่ทำให้บุคคลผู้หนึ่งซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้บำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป สิ้นสภาพความเป็นปุถุชน และได้ตรัสรู้เป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    สถานที่อีกแห่งหนึ่ง คือ สถานที่ทรงแสดงปฐมเทศนาที่สารนาถ เป็นการที่ทรงถึงพร้อมด้วยสัตตูปการะ คือ การอุปการะแก่สัตว์โลก เป็นการเทศนาครั้งแรก

    และสถานที่ดับขันธปรินิพพานที่กุสินารา ณ ที่นั้นทุกท่านคงจะระลึกถึงที่ซึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับขันธ์แล้วจะไม่มีการเกิดอีกเลย ทุกคนที่เกิดแล้วก็ตาย เกิดแล้วก็ตาย ที่ตายของแต่ละคนย่อมเป็นของธรรมดา เพราะเหตุว่าเมื่อตายแล้วก็เกิดอีก แต่ที่ดับขันธปรินิพพาน คือ ที่ที่จะไม่เกิดอีกเลยของผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป

    สำหรับประเทศอินเดีย ถ้าได้ท่องเที่ยวไปสถานที่ต่างๆ ก็จะได้น้อมระลึกถึงแดนของพระอรหันต์ และพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ซึ่งเป็นสถานที่เกิดของท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระอริยะทั้งหลาย เป็นที่ที่จะทำให้ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยได้ทุกแห่ง

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1926


    นาที 08:03

    ย้อนไป 2500 กว่าปี มีอะไรเกิดขึ้นที่ไหน ซึ่งเป็นที่ที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง สำหรับผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป ได้พบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์รวมทั้งที่ได้รับพยากรณ์ คือพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นิยาย ใช่ไหม เพราะว่าบางคน เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าประสูติที่สวนลุมพินีของเรา คนที่คิดอย่างนั้นก็มี แต่ตามความจริงหลักฐาน ก็คือพระไตรปิฎก คำสอนที่สืบทอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ที่แสดงให้เห็นว่าคำสอนนี้อยู่ในโลกมาจากโลก ไม่ใช่มาจากสวรรค์ หรือชั้นพรหม

    เพราะฉะนั้นสถานที่ประสูติมีจริง ที่ตรัสรู้มีจริง ที่ปฐมเทศนามีจริง ที่ปรินิพพานมีจริง กลุ่มที่ไปด้วยกันในครั้งหนึ่ง ดิฉันก็ถามเขาว่า ที่ไหนประทับใจมากใน ๔ แห่ง คนหนึ่งก็ตอบว่าที่ตรัสรู้ อีกคนหนึ่งก็ตอบว่าที่ปฐมเทศนา อีกคนหนึ่งก็ตอบว่าที่ประสูติ ก็คือว่าถ้าไม่ได้สะสมบารมีมา ก็จะไม่ถึงการที่จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาละนั้น และที่ปรินิพพาน ก็เป็นสังเวชนียสถานที่แสดงให้เห็นว่า แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องปรินิพพาน เพราะฉะนั้น คนเราจาก ๒๕๐๐ กว่าปี จนมาถึงเดี๋ยวนี้ เกิดมาแล้วกี่ชาติ จำไม่ได้ใช่ไหม

    แต่ว่าเมื่อได้ฟังพระธรรม ก็มีโอกาสที่จะได้แสดงความเคารพนอบน้อมสูงสุดต่อพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ เพราะฉะนั้นการไปสังเวชนียสถานก็จะระลึกถึงพระคุณ อย่างที่ประสูติ ก็เป็นที่ซึ่งเป็นการเกิดครั้งสุดท้าย และที่ปรินิพพานก็เป็นการตาย ใช้คำธรรมดาคือตายครั้งสุดท้ายคือไม่มีการเกิดอีก และสำหรับที่ตรัสรู้ใน ๒๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา พระจันทร์สว่างเต็มดวงใช่ไหม ทุกคนก็ได้ฟัง จากการที่เป็นผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลส ก้าวไปสู่ใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์ ประทับนั่ง แล้วก็ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเพ็ญรุ่งขึ้น จากความเป็นปุถุชน เพียงตรงนั้น และก็ไม่ใช่เวลาที่นาน เพราะเหตุว่าพระบารมีได้บำเพ็ญพร้อมที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    และสำหรับผู้ที่มีความประทับใจในปฐมเทศนา เขาก็บอกว่าแม้ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แต่ถ้าไม่ทรงแสดงปฐมเทศนาเนี่ย ผู้อื่นสัตว์อื่นก็ไม่สามารถที่จะรู้ตามได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นสถานที่ที่ควรที่จะได้เห็นพระมหากรุณาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ ซึ่งรอยเท้านับไม่ถ้วนสำหรับสถานที่ที่ตรัสรู้ จะเป็นสถานที่ซึ่งครั้งก่อนๆ ที่ไปจะไม่ว่างจากคนเลย ไม่ว่าจะดึกดื่นค่ำคืนอย่างไร ก็จะมีคนที่ไปนมัสการโดยวิธีต่างๆ เช่นพวกธิเบต เขาก็จะนมัสการแบบของเขาคือ อัษฎางคประดิษฐ์ คือทั้งตัวลงไปเลยนอนราบ ของเราเพียงเบญจางคประดิษฐ์ แต่ว่าที่นั่นจะเป็นที่ที่มีผู้คนไม่เงียบเหงา แล้วบางครั้งที่ไปก็จะมีพวกชาวต่างชาติ เช่น ศรีลังกาบ้าง เนปาลบ้าง ก็ไปบวช เขาก็มีดนตรีมีอะไรทุกอย่างเหมือนกับเป็นที่ที่ทุกคนไปเพื่อที่จะแสดงความเคารพอย่างสูงสุดที่จะทำได้สำหรับที่ตรัสรู้

    แต่คราวสุดท้ายที่ไปครั้งก่อน ฝนก็ตกอะไร อะไรก็ไม่เหมือนเดิม ก็เป็นที่ทำให้สลดใจว่าอีกไม่นานเลย คำสอน ก็จะค่อยๆ เลือน เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งละเอียด แล้วก็เป็นความเห็นที่แตกแยกมากยิ่งขึ้น แล้วก็รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นเราคงจะไม่ต้องคอยนานจนถึง ๕๐๐๐ ปี เพราะว่าเวลานี้หลังจากที่ปรินิพพานแล้วไม่นาน ก็เริ่มแล้วจากพระภิกษุที่จ้วงจาบ จนกระทั่งมีการทำสังคายนา จนกระทั่งแยกเป็นมหายาน เป็นเถรวาท และแม้แต่ในมหายานเองก็มีหลายนิกาย เถรวาทของเราเองไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย ลาว เขมร ก็แยกกันไป ตามความคิดเห็น

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องซึ่งใครสะสมมาที่จะเห็นความลึกซึ้งของพระพุทธศาสนา และพิจารณาไตร่ตรองรอบคอบจริงๆ เพราะเหตุว่าเราจะพิจารณาข้อความเดียวในพระไตรปิฏกตอนเดียวเนี่ยไม่ได้ เราจะต้องเริ่มจากสิ่งนั้นคืออะไรให้ชัดเจน และก็รู้ว่าปัญญาของเราสามารถที่จะรับข้อความอื่นด้วยการพิจารณาไตร่ตรองให้สอดคล้องกับคำเดิม ไม่ใช่ว่าคำหลังมาลบคำแรก เพราะว่าเป็นพระไตรปิฎกไม่มีทางจะมาลบได้เลย ไม่ว่าจะเป็นในปฏิสัมภิทามรรค หรือว่าในอรรถสาลินี ในพระไตรปิฏก ต้องสอดคล้องกัน ถ้าตราบใดที่การพิจารณาของเรายังไม่สอดคล้อง หมายความว่าการพิจารณาของเรายังไม่ถูกต้อง ต่อเมื่อใดสอดคล้องกันได้ทั้งหมด นั่นคือถูกต้อง เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ต่างคนต่างสะสมมา ผู้ที่มีความหนักแน่น อดทน และเป็นผู้ตรง ก็จะได้สาระจากพระธรรม แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่ไม่หนักแน่นไม่อดทน ไม่ตรง ก็ไม่ได้สาระจากพระธรรม

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าพระธรรมลึกซึ้ง อย่าลืมคำนี้ ลึกซึ้งมาก จะชัดเจนต่อเมื่อตรงทุกแห่ง และสอดคล้องกันด้วยจึงจะเป็นพระธรรมที่ถูกต้องได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่อีกไม่นาน ก็จะมีการอันตรธาน จนกระทั่งถึงอันตรธานสุดท้าย คือ ธาตุอันตรธาน พระธาตุทั้งหมดก็จะไปประชุมกันที่สถานที่ตรัสรู้ และก็มีเพลิงที่จะทำให้ลูกขึ้นไหม้ แล้วก็จากนั้นก็จะไม่มี แม้แต่พระบรมสารีริกธาตุ

    เพราะฉะนั้นถ้ายังอยู่ในสมัยที่เรานี่จะต้องเป็นผู้ที่อดทนหนักแน่นในเหตุผล และพิจารณาธรรมด้วยความสอดคล้องจริงๆ สิ่งใดถูกก็คือถูก พระธรรมไม่มีสอง ต้องเป็นหนึ่ง เพราะสิ่งใดผิดคือผิด ยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือคะ เพราะเราเองถ้าเทียบกับผู้ที่ท่านอยู่ในครั้งโน้นแล้วประชุมสังคายนาสืบทอดมาถึงเรา ปัญญาของเราน้อยนิดมาก เพราะท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ที่ท่านรู้จริงๆ เพราะฉะนั้นเราเพียงแต่เพิ่งเริ่มที่จะก้าวเข้าไปสู่สิ่งซึ่งเราไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้นปัญญาของเราสามารถจะรู้ได้แค่ไหน เราต้องรู้ ถ้าปัญญาของเราสามารถที่จะไตร่ตรองพื้นฐานของสภาพธรรมที่ถูกต้อง และรักษาความถูกต้องนั้นไว้ไม่ให้คลาดเคลื่อน เวลาที่เราศึกษาต่อไป พบข้อความอื่นต่อไปจะขยายหรือเพิ่มความชัดเจน ในข้อความต้นขึ้น แต่ไม่ใช่ว่า ข้อความนั้นจะลบหรือทำลายข้อความเดิม เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    ก็เป็นเรื่องที่แต่ละคน ก็จะได้ทราบว่าการที่เราไป ก็คือเมื่อเราศึกษาแล้วก็ได้ทราบว่า มีสถานที่อื่น เช่น พระวิหารเชตวัน ก็เป็นที่มาของข้อความในพระไตรปิฏกมากมาย ไม่ว่าจะในชาดกหรือว่าในเรื่องต่างๆ เราก็จะได้เห็นจริงๆ ว่าที่ประตูพระวิหารเชตวัน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านก็เดินออกไปบิณฑบาตแล้วก็กลับเข้าสู่พระวิหารเชตวัน และก็มีข้อความต่างๆ ที่ท่านสนทนาธรรมกัน

    อ.ธิดารัตน์ ข้อความในพระไตรปิฎย่อๆ ดังนี้

    ดูกรอานนท์ ทั้ง ๔ นี้แล เป็นทัศนียสถานอันเป็นสังเวชนียสถานของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธาจะเดินทางมาโดยระลึกว่า พระตถาคตประสูติ ณ ที่นี้ ตรัสรู้ ยังอนุตตรธรรมจักรให้เป็นไป เสด็จปรินิพพาน ณ ที่นี้ ชนเหล่าหนึ่งเหล่าใด ผู้เที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ (แล้วก็ข้อความเว้น) มีจิตเลื่อมใสแล้วจะเข้าถึงสุคติภูมิ โลกสวรรค์

    กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่าความมีศรัทธาที่เป็นจิตที่เลื่อมใสในการมีลักษณะอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็มีศรัทธา แต่ไม่รู้จักศรัทธา แล้วก็จะไปหาศรัทธาที่ไหนในขณะที่ศรัทธาไม่เกิด แต่ว่าขณะใดก็ตามที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นจะเห็นศรัทธาหรือไม่เห็น ก็แล้วแต่ แต่ว่ามีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วยมาก ไม่น้อยเลย มีทั้งหิริ ความละอายต่ออกุศล ยากไหมคะ อกุศลบางครั้ง บางคนชอบ ไม่ละอายเลยที่จะเป็นอกุศล แต่ว่าอกุศลก็มีมากไม่ใช่ว่าเราซึ่งไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมแล้วก็จะไปละอายจนกระทั่งดับไม่มีอกุศลใดๆ เลยทั้งสิ้น ทั้งๆ รู้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัญญา

    เพราะฉะนั้น ใครทำให้เกิดปัญญา ลองคิดดู ปัญญามาจากไหนที่จะเข้าใจว่าขณะนี้เป็นสภาพธรรม คิดเองนี่คิดไม่ออกแน่ อย่างไรๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่าไม่ใช่เราจนกว่าจะมีการได้ฟังพระธรรม เมื่อฟังแล้ว เพียงฟังจะรู้ไหมว่าผู้ที่ได้ตรัสคำนี้ ต้องเป็นผู้ที่ประจักษ์ความจริง ไม่ใช่เพียงแต่คิดแล้วพูด แต่สามารถที่จะประจักษ์ว่าขณะนี้มีธาตุรู้ ซึ่งเป็นทั้งจิต และเจตสิก เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก เกินวิสัยที่ใครจะไปรู้โดยเพียงขั้นคิด แต่ขั้นเข้าใจ สามารถที่จะเข้าใจได้

    แต่ปัญญาที่ถึงกับจะรู้ตามการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถเป็นไปได้เมื่อได้อบรมเจริญศรัทธาเพิ่มขึ้น ขณะนี้ศรัทธาของแต่ละคนที่ยังไม่ได้ฟังธรรมก็ย่อมเป็นไปในทานบ้าง ในศีลบ้าง ในกุศลประเภทอื่น แต่ว่าสำหรับผู้ที่เริ่มฟังธรรมจะเห็นศรัทธาเพิ่มขึ้นไหมว่าต่างกับศรัทธาเพียงขั้นทาน หรือว่าศรัทธาเพียงขั้นศีล ยังมีศรัทธาที่จะเห็นคุณของพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังว่าเป็นสัจจะ เป็นความจริงซึ่งกว่าจะได้ยินได้ฟัง เราก็เกิดมาหลายชาติ หลายแสนชาติ และในแสนโกฎกัปชาติ จะได้ฟังกี่ครั้ง และจะมีโอกาสได้ฟังต่อไปจากขณะนี้หรือเปล่า ถ้าสิ้นสุดชาตินี้ลงก็เป็นสิ่งซึ่งจะทำให้เห็นได้ว่าไม่ต้องไปหาศรัทธาอื่น และศรัทธาของคนอื่นเราจะรู้ได้ไหม

    ศรัทธาของพระโสดาบัน ต้องมากกว่าศรัทธาของผู้ที่ไม่ใช่พระโสดาบัน แล้วเราจะไปรู้ศรัทธาของบุคคลอื่นได้ไหม ถ้าขณะนี้เราไม่รู้ศรัทธาของเราเอง เพราะฉะนั้น ศรัทธา ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นโสภณธรรมเกิดกับจิตขณะใด จิตขณะนั้นผ่องใส หรือใสพ้นจากอกุศลทุกประเภทด้วยสัทธาเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย แล้วก็ยังมีโสภณเจตสิกอื่นๆ เช่น สติเจตสิก เป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล

    ฟังธรรมเพราะศรัทธาหรือเปล่า เห็นไหมฟังบ่อยๆ ตื่นขึ้นมาก็ฟัง เพราะศรัทธาหรือเปล่า และศรัทธาที่เริ่มฟัง กับศรัทธาหลังจากที่ได้ฟังแล้วเข้าใจเพิ่มขึ้น ต่างกัน ไม่ใช่แค่เพียงแต่มีศรัทธาขั้นที่จะฟังเท่านั้น แต่ยังมีศรัทธาเพิ่มขึ้นอีกด้วย เจริญขึ้นตามลำดับของปัญญา เพราะฉะนั้นจะเห็นพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สูงสุดว่าไม่มีใครเทียบกับพระองค์ได้เลยในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ เพราะว่ากว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ซึ่งคนอื่นที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญไม่ได้ถึงอย่างนั้น

    เมื่อได้บำเพ็ญเพื่อที่จะไม่เพียงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ยังทรงพระมหากรุณาที่จะให้บุคคลอื่นได้เข้าใจตามแม้ว่าเพียงฟังในชาตินั้น ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ หลังจากนั้นอีก ๒๐๐ ชาติ หรืออีกนานเท่าไรก็ตามแต่ เขาก็ยังสามารถที่จะรู้อริยสัจธรรมได้ ก็ทรงพระมหากรุณา

    เพราะฉะนั้นแต่ละคนในที่นี้ มาจากที่ต่างๆ แล้วก็ย้อนไปในแสนโกฏิกัปป์มาจากชาติต่างๆ แต่ละชาติจะเป็นใครสะสมบุญกุศลประเภทใด ชีวิตจะดำเนินไปอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถที่จะย้อนระลึกได้ และชาติหน้า เราก็จะลืมชาตินี้หมดเลย แต่ก็ยังมีการได้ยินได้ฟังในชาตินี้ เพราะฉะนั้นศรัทธาของแต่ละคนก็รู้ได้เลยว่าเจริญขึ้นเมื่อได้ฟังพระธรรม

    เพราะฉะนั้น สำหรับสังเวชนียสถาน เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นประจักษ์ว่ามีพระอรหันตสัมมาสัมพระเจ้า ที่ได้ทรงประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ และก็ได้มีการตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณรู้แจ้งอริยสัจธรรมจริงๆ ไม่ใช่นอกโลก ไม่ใช่บนสวรรค์ ไม่ใช่พรหมโลก แต่ ณ สถานที่นั่นเอง เพราะฉะนั้นการที่เราได้ฟังพระธรรม และมีโอกาสที่จะระลึกถึงพระคุณ แต่ไม่ใช่เพียงแต่เพื่ออยากจะไปนมัสการ ควรจะมากกว่านั้นด้วย มีศรัทธาเพิ่มขึ้นพร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามด้วยนี้เป็นประโยชน์กว่า

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ก็ไม่ใช่เพียงฟัง พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นของพระองค์ ของพระอริยสาวกแต่ละท่านก็เป็นของแต่ละท่าน ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ควรจะเห็นทางซึ่งจะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ถ้าปัญญาไม่เจริญ ศรัทธาก็ไม่เจริญด้วย เพราะฉะนั้นการที่ศรัทธาจะเพิ่มขึ้นมากขึ้นก็เพราะปัญญาที่ได้เข้าใจพระธรรมมากขึ้น

    ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่จะไปนมัสการสังเวชนียสถาน ก็ไม่เพียงแต่จะกราบระลึกถึงพระคุณ แต่ก็ควรมีศรัทธาที่จะพร้อมประพฤติปฏิบัติตามเมื่อสติเกิด แต่ถ้าสติไม่เกิด ก็ต้องอบรมไปจนกว่าจะมีกำลังเพิ่มขึ้น แต่ให้ทราบว่า อีกไม่นานสถานที่นี้ก็จะอันตรธาน คือไม่มีใครรู้จัก จะรกร้างเหมือนกับในสมัยหนึ่ง ซึ่งยังไม่มีการบูรณะไม่มีการรู้ว่าเป็นสถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนา หรือ สถานที่ปรินิพพาน แต่ ณ บัดนี้ ยังมีสถานที่ทำให้เราได้ระลึกถึงในสถานที่แต่ละแห่ง ก่อนที่จะอันตรธาน

    เพราะฉะนั้นผู้ที่เกิดกุศลจิตกุศลให้ผลไหม จากโลกนี้แล้วไปไหน แต่ว่าถ้าเป็นอกุศล เรามีอยู่หรือเปล่า ยังไม่เป็นพระโสดาบันตราบใด ประมาทไม่ได้เลย

    นาที 24.39

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ว่า สิ่งที่ประดิษฐานสำคัญกว่าพระพุทธรูปอย่างไร

    ท่านอาจารย์ พระพุทธรูปก็คือเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงพระคุณ แต่พระพุทธรูปนั้นก็คือสิ่งที่สร้างขึ้น แล้วแต่ว่าสิ่งที่สร้างนั้นจะเป็นวัตถุสิ่งใด แต่สำหรับพระบรมสารีริกธาตุไม่ได้สร้าง ไม่มีใครสามารถที่จะสร้างได้ และเป็นส่วนของพระกายในระหว่างที่ยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ ซึ่งไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะทำให้เราระลึกถึงการที่เราได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม แม้ว่าจะปรินิพพานไปแล้ว แต่ก็ยังมีส่วนของพระกายที่ทำให้เราได้ใกล้ชิด ที่จะระลึกได้ว่า ระหว่างที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ได้ทรงทำสิ่งซึ่งเหนือบุคคลอื่นใดทั้งหมด ทั้งในเรื่องของการแสดงธรรม การอนุเคราะห์สัตว์โลก และการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ฟังพระธรรม การที่เราจะน้อมระลึกถึงพระคุณ หรือว่าจะประพฤติปฏิบัติ เพื่อเป็นปฏิการะการตอบแทนพระคุณ ก็โดยการตั้งใจฟัง ประการนี้สำคัญที่สุด ประโยชน์สูงสุดคือพระองค์ไม่ได้ทรงมุ่งหวังสิ่งใดเลยทั้งสิ้นจากการที่ทรงแสดงธรรมนอกจากอนุเคราะห์สัตว์โลก เพราะรู้ว่าพระธรรมเป็นสิ่งซึ่งแสนยาก

    มีพระสูตรที่เกี่ยวกับ เต่าตาบอด แล้วก็จมอยู่กลางทะเล ลึกมาก ทะเลกว้าง และเต่าตัวเล็กๆ แล้วก็มีบุรุษ ๔ คน ทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก แต่ละคนโยนบ่วงลงไปกลางทะเล แล้วก็ลองคิดถึงระยะเวลาซึ่งเต่าตัวนั้น ตาบอดกว่าจะโผล่จากใต้ทะเลขึ้นมาประจวบกับบ่วง คล้องคอเต่าเล็กๆ นี้ได้ จะนานแสนนานสักเท่าไหร่ นี่ก็คือยุคหนึ่งของบ่วงหนึ่ง คือเปรียบเทียบเหมือนกับตอนที่เรายังไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ มีหรือไม่ที่เรายังไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เวลานี้ก็มีสัตว์จำนวนมาก ซึ่งไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์

    เพราะฉะนั้น สังสารวัฏฏ์ยาวนานมาก ถ้าไม่ใช่พระโสดาบันบุคคล ก็มีโอกาส ยังมีปัจจัยที่จะเกิดในอบายภูมิ ไม่ว่าจะเป็นในนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน นานแสนนาน นี่คือยุคหนึ่งของเราเอง ซึ่งเคยเป็นมาแล้ว แล้วก็ยุคที่สองก็คือ ได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นการเกิดเป็นมนุษย์นี้ไม่ง่ายเลย ถ้าคิดถึงกรรมที่เราได้ทำว่าเราได้ทำกรรมดีไว้มากน้อยแค่ไหน คิดถึงชาตินี้ก็ได้ กรรมไหนของเราซึ่งเป็นกรรมดีที่จะทำให้เกิดเป็นมนุษย์อีก หรือว่ากรรมไม่ดีของเราก็มี แล้วไม่รู้ว่าเวลาที่ใกล้จะจุติจะเป็นปัจจัยของกรรมใดที่พร้อมที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด เพราะฉะนั้นเราก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ และเราก็คงจะได้เกิดเป็นมนุษย์หลายชาติ ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว

    เพราะฉะนั้นยุคของการเกิดเป็นมนุษย์ก็อีกยุคหนึ่ง แต่ว่ายุคนั้นยังไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่เกิดในยุคที่ไม่มีการตรัสรู้ มีมาก เราก็ผ่านยุคนั้นมาแล้ว และก็ถึงอีกยุคหนึ่งก็คือเมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงพระธรรม คือยุคนี้ ที่เราเป็นเต่าที่อยู่กลางทะเล และก็มีโอกาสโผล่ขึ้นมา และก็คล้องบ่วงในยุคที่มีพระธรรมที่แม้ว่าจะดับขันธ์ปรินิพพาน แต่พระธรรมก็ยังมีอยู่ นี่ก็เป็นยุคที่ ๓ เหลืออีกยุคเดียวคือ ยุคที่ฟังไป แล้วก็อบรมไปจนถึงยุคที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม

    เพราะฉะนั้น การที่ได้มีพระบรมสารีริกธาตุเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ระลึกถึงพระคุณก็คงจะไม่ลืมว่า เรามีการเคารพพระองค์ได้ ทางที่ดีที่สุดคือตั้งใจฟัง ให้เข้าใจ ให้ถูกต้อง แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามเท่าที่จะกระทำได้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 199
    6 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ