กรรม ตอนที่ 20


    พระเถระกล่าวว่า บัดนี้ พวกท่านเป็นผู้มีศีลแล้ว เมื่อท่านทั้งหลายแม้ถูกปลงชีวิตของตนให้พินาศอยู่ ท่านทั้งหลายอย่าได้ประทุษร้ายใจ คือ อย่าโกรธ

    คือไม่ทำร้ายใจของตนเอง ด้วยการไม่โกรธ

    ซึ่งพวกโจรเหล่านั้นรับคำแล้ว

    เวลาที่รับศีล ควรจะไม่โกรธ ดีไหมคะ

    ครั้งนั้น ชาวชนบทเหล่านั้นมาถึงแล้วก็มองหาอยู่ข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง ก็ได้พบโจรเหล่านั้น แล้วพากันปลงชีวิตเสียสิ้นทุกคน โจรเหล่านั้นกระทำกาละแล้ว คือสิ้นชีวิตแล้ว ก็บังเกิดในสวรรค์

    ถ้าใครสามารถทำอย่างโจรได้ คือว่า กำลังถูกฆ่าอยู่ ก็ไม่โกรธ ขณะนั้นผลของกุศลจิตที่เกิดก่อนจุติเป็นชนกกรรม ทำให้กุศลวิบากจิตปฏิสนธิในสวรรค์

    เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปคิดถึงว่า ถ้าโจรมาฆ่าก็จะไม่โกรธ ไม่ต้องเป็นโจรก็ได้ ใครก็ได้ ไม่ต้องฆ่าก็ได้ ทำอะไรก็ได้ แล้วก็ไม่โกรธ ขณะนั้นถ้าจุติจิตเกิด แล้วกุศลจิตซึ่งเกิดก่อนจุติจิต เป็นชวนะสุดท้าย จะเป็นชนกกรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิได้ แต่ต้องไม่โกรธจริงๆ เพราะเห็นประโยชน์ของความไม่โกรธ และเห็นโทษของความโกรธ เป็นไปได้ถ้าจะไม่โกรธเสียเดี๋ยวนี้ และก็ต่อๆ ไป เพราะเหตุว่าจะปฏิสนธิจิตเมื่อไรไม่ทราบ ปฏิสนธิสำหรับชาติหน้าจะเกิดขึ้นเมื่อไรไม่ทราบ ถ้ากระทำอยู่เสมอจนกระทั่งเป็นอาจิณณกรรม ก็จะทำให้หวังได้ว่า กรรมนั้นก็จะทำให้เกิดในสวรรค์ได้

    บรรดาโจรเหล่านั้น โจรผู้เป็นหัวหน้าได้เป็นเทพบุตรผู้เป็นหัวหน้า โจรนอกนี้ได้เป็นบริวารของเทพบุตรผู้เป็นหัวหน้านั่นเอง ท่านเหล่านั้นท่องเที่ยวกลับไปกลับมาอยู่ ให้พุทธันดรหนึ่งสิ้นไปในเทวโลก แล้วเคลื่อนจากเทวโลกในกาลแห่งพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย

    คือในสมัยของพระพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระองค์นี้

    เทพบุตรผู้เป็นหัวหน้าได้ถือปฏิสนธิในท้องแห่งภรรยาของชาวประมงผู้เป็นหัวหน้าสกุล ๕๐๐ สกุล ในบ้านชาวประมงซึ่งมีอยู่ที่ประตูเมืองสาวัตถี เทพบุตรพวกนี้ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของภรรยาของชาวประมงที่เหลือทั้งหลาย เขาเหล่านั้นได้ถือปฏิสนธิ และออกจากครรภ์ในวันเดียวกันนั้นเองด้วยประการฉะนี้

    นี่อีกภพหนึ่งชาติหนึ่ง จากหลายๆ ชาติ จากสมัยของพระผู้มีพระภาคพระกัสสปะซึ่งเป็นโจร จนกระทั่งถึงได้ไปเกิดบนสวรรค์ และในที่สุดก็ได้เกิดในสกุลของชาวประมง

    ครั้งนั้น แม้ภิกษุชื่อว่ากปิละก็มาเกิดเป็นปลาสีเหมือนทอง แต่ปากเหม็นในแม่น้ำอจิรวดีด้วยเศษกรรมที่เหลือจากการเกิดในนรก.

    เป็นพระภิกษุชาติหนึ่งชาติใด แล้วก็เกิดในนรก แล้วก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็มีรูปร่างที่วิจิตรมาก คือ เป็นปลาสีเหมือนทอง แต่ปากเหม็น

    ต่อมาวันหนึ่ง เด็กชาวประมงเหล่านั้นทั้งหมดถือเอาแหไปจับปลา แล้วจับได้ปลาทองตัวนั้น

    สหายทั้ง ๕๐๐ คนนั้นได้นำปลานั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลทอดพระเนตร เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทอดพระเนตรเห็นปลาสีทอง ก็ทรงดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงทราบเหตุที่ปลานี้มีสีทอง ดังนี้ ก็รับสั่งให้ถือปลานั้นไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาที่ปลาอ้าปากขึ้น พระเชตะวันก็มีกลิ่นเหม็นอย่างยิ่ง

    ใครจะรู้ไหมคะ อกุศลวิบากจะเกิดขณะไหน สำหรับผู้ที่อยู่ ณ พระวิหารเชตวันในขณะนั้น

    พระราชาทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร ปลาจึงเกิดเป็นปลามีสีทอง และเพราะเหตุไร กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้น.

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร ปลานี้เป็นภิกษุพหูสูต ผู้เรียนจบปริยัติ ชื่อว่ากปิละ ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เป็นผู้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายซึ่งไม่เชื่อถ้อยคำของตน เป็นผู้ทำศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสื่อมไป เพราะกรรมที่เธอทำพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นให้เสื่อมไป เธอจึงบังเกิดในอเวจีมหานรก และก็มาเกิดเป็นปลาในบัดนี้ด้วยเศษแห่งวิบาก ด้วยผลอันไหลออกแห่งกรรมที่เธอได้กล่าวพุทธพจน์ สรรเสริญพระพุทธคุณเป็นเวลานาน เธอจึงได้วรรณะเช่นนี้ เพราะเหตุที่เธอได้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของปลานั้น.

    นี่คือผลของกรรมที่วิจิตร แต่ว่าเห็นได้ว่า ถ้ายังเป็นผู้ประมาทในเรื่องของกรรมแม้เล็กๆ น้อยๆ ถ้ากรรมนั้นให้ผล ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า แม้เป็นภิกษุพหูสูต แล้วมีบริวารมีลาภสักการะ ก็ยังเกิดในนรก และเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    มีข้อสงสัยไหมคะในเรื่องนี้

    4718 เป็นไปได้ถ้าจะไม่โกรธก่อนจุติ

    ถ้าใครสามารถทำอย่างโจรได้ คือว่า กำลังถูกฆ่าอยู่ ก็ไม่โกรธ ขณะนั้นผลของกุศลจิตที่เกิดก่อนจุติเป็นชนกกรรม ทำให้กุศลวิบากจิตปฏิสนธิในสวรรค์

    เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปคิดถึงว่า ถ้าโจรมาฆ่าก็จะไม่โกรธ ไม่ต้องเป็นโจรก็ได้ ใครก็ได้ ไม่ต้องฆ่าก็ได้ ทำอะไรก็ได้ แล้วก็ไม่โกรธ ขณะนั้นถ้าจุติจิตเกิด แล้วกุศลจิตซึ่งเกิดก่อนจุติจิต เป็นชวนะสุดท้าย จะเป็นชนกกรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิได้ แต่ต้องไม่โกรธจริงๆ เพราะเห็นประโยชน์ของความไม่โกรธ และเห็นโทษของความโกรธ

    เป็นไปได้ถ้าจะไม่โกรธเสียเดี๋ยวนี้ และก็ต่อๆ ไป เพราะเหตุว่าจะปฏิสนธิจิตเมื่อไรไม่ทราบ ปฏิสนธิสำหรับชาติหน้าจะเกิดขึ้นเมื่อไรไม่ทราบ ถ้ากระทำอยู่เสมอจนกระทั่งเป็นอาจิณณกรรม ก็จะทำให้หวังได้ว่า กรรมนั้นก็คงจะทำให้เกิดในสวรรค์ได้

    4719 เมื่อจะให้ก็ควรให้อย่างดี

    เพราะฉะนั้นอย่าประมาทกุศล หรือคิดว่าเพียงเล็กน้อย เพียงการซื้อปลาให้แมว แล้วก็แกะแต่เนื้อให้ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงกุศลจิตที่โสมนัสจริงๆ เมื่อจะให้ก็ให้อย่างดี และก็ให้เขามีความสุข และเกิดปีติดีใจที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือ

    เพราะฉะนั้นถ้ากุศลกรรมนี้ให้ผล ก็จะทำให้มหาวิบากที่เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนาเกิดได้ แต่แล้วแต่ว่าจะประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญา

    4820 ผู้เข้าใจเรื่องกรรมเป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยน

    เพราะเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องที่ละเอียด เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ เข้าใจเรื่องกรรม และต้องเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ อย่างที่เข้าใจว่าเป็นเรื่องของกรรม ถ้ามีสัตว์เดรัจฉานในลักษณะอาการอย่างหนึ่งอย่างใด เคยระลึกด้วยความเมตตาว่า ผู้นี้อาจจะเคยเป็นผู้ที่มีพระคุณในชาติก่อนๆ ชาติหนึ่งชาติใด ที่เคยกระทำคุณความดีต่อท่าน เกื้อกูลท่านในชาติหนึ่ง หรือได้เห็นความไม่เที่ยง ความไม่แน่นอนว่า แม้จะเคยเป็นผู้มีปัญญา แต่เมื่ออกุศลกรรมให้ผล ก็ทำให้มีสภาพที่ต่างจากที่เคยเป็นในชาติก่อน

    ถ้าคิดอย่างนี้ จิตใจก็คงจะอ่อนโยน แทนที่จะรังเกียจว่า เป็นแมว แล้วต้องรับใช้แมว โดยการไปซื้อปลามาให้แมว นี่ก็เป็นได้

    ไม่ทราบยังมีข้อสงสัยอะไรไหมคะในเรื่องนี้

    4821 รู้กรรมไม่ใช่รู้เพียงจากเหตุการณ์

    และสำหรับการที่จะรู้กรรม ไม่ควรที่จะเป็นเพียงเหตุการณ์ แต่สามารถที่จะรู้แม้ขณะที่กำลังเห็น คือ ขณะที่เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็จะต้องรู้ว่า ขณะนั้นเป็นอกุศลวิบาก แต่ว่าจิตที่เกิดหลังจากนั้น อาจจะเป็นกุศลก็ได้ หรืออาจจะเป็นอกุศลก็ได้ แล้วแต่การพิจารณาในขณะนั้น

    ชีวิตก็ดำเนินไปอย่างนี้ทุกวันๆ ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดก็จะสังเกตเห็นได้ว่า วันหนึ่งๆ ไม่พ้นจากผลของกรรม และกรรมซึ่งเป็นเหตุ ได้แก่ บุญ และบาป

    4822 ภัยของชีวิตแม้เล็กน้อยที่ประสพในแต่ละวัน

    สำหรับภัยของชีวิตซึ่งแต่ละคนก็ประสบอยู่ทุกคน แต่อาจจะไม่ได้สังเกต เพราะว่าบางท่านอาจจะประสบภัยเพียงเล็กน้อย แต่บางท่านก็อาจจะประสบภัยของชีวิตที่ร้ายแรง

    สำหรับเหตุการณ์ธรรมดาๆ ที่พบกันอยู่ทุกวัน ก็ได้แก่ ความไม่สะดวกสบายต่างๆ นี่เป็นภัยของชีวิตเหมือนกัน เพราะเหตุว่าทุกคนอยากมีชีวิตที่สะดวกสบาย ไม่ต้องการพบกับความไม่สะดวกสบายใดๆ เลย เพราะฉะนั้นเวลาประสบกับความไม่สะดวกไม่สบายแม้เพียงเล็กน้อย ทำให้เห็นภัยขงชีวิตว่า นี่คือภัยอย่างหนึ่งเหมือนกัน เวลาที่เจ็บป่วยทุกคนก็เริ่มเห็นภัย ซึ่งขณะที่ไม่เจ็บป่วยไม่เคยเห็น นอกจากนั้นก็ยังมีภัยอื่นๆ ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ต่างๆ

    4823 ปัจจัยที่ ๑ ชีวิตเนื่องด้วยลมหายใจเข้าออก

    ข้อความในปรมัตถโชติกา อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต มหาวรรคที่ ๓ สัลลสูตรที่ ๘ ได้กล่าวถึงความยากลำบากของชีวิต ความเล็กน้อยของชีวิต ซึ่งมีภัยมาก เพราะเหตุว่าถ้าจะพิจารณาจริงๆ แล้ว ความเป็นไปของชีวิตแต่ละขณะ เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างจึงดำรงอยู่ได้ เพราะฉะนั้นชีวิตก็ไม่ใช่ให้เป็นไปเพื่อความสุขเท่านั้น เพราะบางคนหวังเหลือเกิน เกิดมาชาตินี้ก็จะมีความสุขมากๆ สิ่งที่ต้องการ คือ ความสุขเท่านั้น แต่ไม่ควรจะลืมอีกด้านหนึ่งของชีวิตด้วยว่า ชีวิตไม่ใช่ให้เป็นไปเพื่อความสุขเท่านั้น

    สำหรับปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตซึ่งบอบบาง เล็กน้อย และยากลำบาก ดำรงอยู่ได้ ก็คือ

    ๑. ชีวิตเนื่องด้วยลมหายใจเข้าออก ตราบใดที่ยังหายใจเข้าออกโดยสม่ำเสมอ จะไม่รู้สึกเลยว่า ชีวิตทั้งชีวิตแขวนอยู่กับลมหายใจแผ่วๆ ซึ่งถ้าเกิดขัดข้อง คือเมื่อไม่หายใจเข้า ไม่หายใจออก ก็เป็นอยู่ไม่ได้ และก่อนที่จะไม่หายใจเข้า ไม่หายใจออก จะทรมานสักแค่ไหน ในขณะที่หายใจไม่ออก อย่างบางคนจะรู้สึกได้ว่า เวลาที่เป็นหวัดคัดจมูก แม้เพียงเท่านั้นก็อึดอัดมากมาย และถ้ามากกว่านั้น ซึ่งหลายชีวิตก็จะต้องประสบกับภาวะเช่นนั้น ขณะนั้นก็จะต้องเป็นภัยอย่างหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่า ชีวิตบอบบาง และเล็กน้อยมาก เพียงมีชีวิตดำรงอยู่ได้ด้วยลมหายใจที่เข้าออกเท่านั้น

    4824 ปัจจัยที่ ๒ ชีวิตเนื่องด้วยมหาภูตรูป

    ๒. ชีวิตเนื่องด้วยมหาภูตรูป ซึ่งอาศัยความสม่ำเสมอของธาตุทั้ง ๔ เป็นปกติ ถ้าธาตุทั้ง ๔ มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ปกติ เช่น ธาตุลมมีมาก ปั่นป่วนในร่างกาย ก็ทำให้ถึงกับสิ้นสติได้ หรืออาจจะทำพิการ เป็นอัมพาตได้ นั่นคือความไม่สม่ำเสมอของธาตุทั้ง ๔

    4825 ปัจจัยที่ ๓ ชีวิตเนื่องด้วยกวฬีการาหาร

    ประการที่ ๓ ชีวิตเนื่องด้วยกวฬีการาหาร คือ อาหารที่บริโภคเป็นคำๆ ซึ่งทุกท่านจำเป็นที่สุดที่จะต้องบริโภคอาหารนี้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้าอดอาหารกลางป่า หรือขาดอาหารอยู่ในที่จำกัด และขาดอาหารหลายๆ วัน ก็ทำให้สิ้นชีวิตได้เหมือนกัน เพราะเหตุว่าชีวิตเนื่องด้วยกวฬีการาหาร

    4826 ปัจจัยที่ ๔ ชีวิตเนื่องด้วยไฟที่เกิดจากกรรม

    ประการที่ ๔ ชีวิตเนื่องด้วยไออุ่น ได้แก่ ไฟที่เกิดจากกรรมที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น และทำให้อาหารที่บริโภคย่อย ถ้าอาหารที่บริโภคไม่ย่อยเมื่อไร เมื่อนั้นก็สิ้นชีวิตได้เหมือนกัน

    4827 ปัจจัยที่ ๕ ชีวิตเนื่องด้วยวิญญาณ

    ประการที่ ๕ ชีวิตเนื่องด้วยวิญญาณ คือ เมื่อใดที่จุติจิตเกิด และดับ เมื่อนั้นสัตว์นั้นก็ไม่มีชีวิต

    เพราะฉะนั้นถ้าจะพิจารณาดูความเป็นชีวิต สภาพที่มีชีวิตของทุกชีวิตในโลก ก็จะเห็นได้ว่า ชีวิตที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ได้ ก็ด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เท่านั้นเอง ไม่ใช่ด้วยเหตุอื่นมากมายเลย เหตุอื่นที่คิดก็เป็นไปด้วยความพอใจในอุปกรณ์ของชีวิตที่จะทำให้พอใจยิ่งขึ้น สะดวกสบายยิ่งขึ้น แต่ว่าอุปกรณ์ คือ ปัจจัยแท้จริงของชีวิตย่อมขึ้นอยู่กับลมหายใจเข้าออก ขึ้นอยู่กับมหาภูตรูป ขึ้นอยู่กับกวฬีการาหาร ขึ้นอยู่กับไออุ่น และขึ้นอยู่กับวิญญาณ

    เพราะฉะนั้นบางคนก็คิดถึงชีวิตที่ยาวนานเหลือเกิน แต่ถ้าปัจจัยเหล่านี้เกิดไม่เป็นปกติ สิ้นสุดลงเมื่อไร เมื่อนั้นชีวิตก็ต้องสิ้นสุดลงทันที

    4828 ทุกข์จริงๆ มาจากกิเลสทั้งหลาย

    นี่ก็จะน่าจะเห็นภัยของชีวิตที่คิดว่าสนุกเหลือเกิน สบายมาก และก็มีความสุข แต่แท้ที่จริงแล้วภัยของชีวิตมีทุกขณะ แต่ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดกว่านั้นอีก นอกเสียจากลมหายใจเข้าออก หรือมหาภูตรูป กพฬีการาหาร ไออุ่น และวิญญาณ สภาพที่ทำให้ต้องเกิดอีกนั้นมีอยู่อย่างเดียว คือ กิเลสทั้งหลาย ถ้าดับกิเลส จะดับทุกข์ทั้งหมด ไม่ต้องลำบาก หรือว่าเห็นภัยต่างๆ ของชีวิต เพราะเหตุว่าไม่ต้องเกิด ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยิน ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องทุกข์ยาก ไม่ต้องวิตก ไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม มิฉะนั้นแล้วก็ไม่สามารถเห็นภัยของกิเลสได้เลย เพราะเหตุว่าทุกคนที่มีความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ไม่เบื่อ ไม่มีการที่จะเบื่อรูป เบื่อเสียง เบื่อกลิ่น เบื่อรส เบื่อโผฏฐัพพะเลย

    4829 ผู้เห็นโทษแม้การเกิดในสวรรค์

    ขอกล่าวถึงการเกิดในสวรรค์ ซึ่งผู้มีปัญญายังเห็นโทษ ข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย อุโปสถวิมาน มีข้อความว่า

    เทพธิดาท่านหนึ่งแสดงโทษของตนแก่ท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า

    “ฉันทะ ความพอใจเกิดขึ้นแก่ดิฉัน เพราะได้ฟังเรื่องสวนนันทวันอยู่เนืองๆ ดิฉันจึงตั้งจิตไปในสวนนันทวันนั้น ก็เข้าถึงสวนนันทวันได้จริงๆ ดิฉันมิได้ทำตามพระวาจาของพระศาสดาพุทธเจ้าเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ดิฉันนั้นตั้งจิตใจไว้ในภพอันเลว จึงร้อนใจในภายหลัง”

    เกิดถึงบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะเหตุว่าได้ยินได้ฟังเรื่องความเพลิดเพลิน ความสะดวกสบายในสวรรค์ ความสนุกรื่นเริงของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่มีสวนนันทวัน เพราะฉะนั้นก็เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ก็รู้ว่า แม้เกิดบนสวรรค์ก็ยังต้องเกิดอีก ในเมื่อมียังกิเลสที่จะทำให้เกิด และสำหรับชีวิตของเทพธิดาท่านนั้น ก็จะต้องอยู่ในวิมานนั้นประมาณ ๓ โกฏิ ๖๐,๐๐๐ ปี

    พอใจไหมคะ อยู่เสียนาน และก็เพลิดเพลินอยู่ที่สวนนันทวัน แต่ว่าถ้าไม่มีปัญญาจริงๆ จะไม่เห็นโทษเลย แต่ผู้ใดที่เห็นโทษ ก็ได้กล่าวว่า

    “ดิฉันมิได้ทำตามพระวาจาของพระศาสดาพุทธเจ้าเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์”

    4830 เทพธิดาผู้เดือดร้อน

    อีกท่านหนึ่ง ข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย ประภัสสรวิมาน มีข้อความว่า

    เทพธิดากล่าวกับท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันได้ถวายพวงมาลัย และน้ำอ้อยแด่พระคุณเจ้าผู้เที่ยวบิณฑบาตอยู่ ดิฉันจึงได้เสวยผลแห่งกรรมนั้นในเทวโลก ข้าแต่ท่านผู้เจริญ แต่ดิฉันยังมีความเดือดร้อน ผิดพลาด เป็นทุกข์ เพราะดิฉันไม่ได้ฟังธรรม อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นธรรมราชาทรงแสดงดีแล้ว

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะเหตุนั้นดิฉันจึงมากราบเรียนพระคุณเจ้า ซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์ดิฉัน โปรดชักชวนผู้ที่ควรอนุเคราะห์นั้นด้วยธรรมที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชาทรงแสดงดีแล้ว ทวยเทพที่มีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะก็รุ่งโรจน์ล้ำดิฉัน โดยอายุ ยศ สิริ ทวยเทพอื่นๆ ก็ยิ่งยวดกว่าโดยอำนาจ และวรรณะ มีฤทธิ์มากกว่าดิฉัน

    จะอยู่บนสวรรค์ แต่ถ้าไม่รู้เรื่องลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็เหมือนกัน อยู่บนสวรรค์ เห็นสิ่งที่น่าเพลิดเพลิน แต่ก็ไม่รู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นมนุษย์ในขณะนี้ก็มีการเห็น การได้ยิน แต่ถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แล้วจะทำอย่างไร ก็มีหนทางเดียว คือ ต้องฟังพระธรรมต่อไปอีก พระธรรมเรื่องอะไร ก็เรื่องตา เรื่องหู เรื่องจมูก เรื่องลิ้น เรื่องกาย เรื่องใจ โดยประการต่างๆ เพื่อที่จะให้สามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ และเห็นภัยว่า เป็นสภาพธรรมที่เล็กน้อย และเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วก็ดับไป

    4831 ขณะประเสริฐซึ่งหาได้ยาก

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้ซึ่งทุกคนมีโอกาสได้ฟังพระธรรม จะเข้าใจมากน้อยเท่าไร ก็ต้องฟังต่อไปอีกเรื่อยๆ ชาตินี้ยังไม่ถึงการรู้แจ้งเป็นพระอริยบุคคล ชาติหน้าต้องฟังอีก ถ้ามีโอกาสได้ฟังพระธรรม เกิดในประเทศที่สมควร ก็ขอจงฟังพระธรรมต่อไป จนกว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นขณะที่หายากถ้าจะพิจารณาดูแต่ละชีวิตในโลกที่จะได้ขณะที่ประเสริฐ คือ ขณะที่พระผู้มีพระภาคทรงอุบัติขึ้น ๑ ขณะที่ได้เกิดขึ้นในปฏิรูปเทส ๑ คือ ในประเทศที่มีพระพุทธศาสนา ขณะที่ได้สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูก ๑ ขณะที่อวัยวะทั้ง ๖ ไม่บกพร่อง ๑

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกท่านก็เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยขณะเหล่านี้ ก็ขอขณะเหล่านี้อย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย ตามข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถาขุททกนิกาย ฉักกนิบาต มาลุงกยปุตตเถรคาถาที่ ๕

    ในพระไตรปิฎกก็เป็นเรื่องกุศลกรรม และอกุศลกรรม และสภาพธรรมทั้งหมดพี่จะรบกวนให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่ปฏิสนธิแล้วในโลกนี้ยังไม่ทราบว่าปฏิสนธิจิตของท่านมีอารมณ์อะไร ฉันใด การที่ท่านจะจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น ขณะที่จุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตของชาติหน้าเกิด โดยมีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติซึ่งอาจจะเป็นอกุศลจิตรึกุศลจิต แล้วแต่กรรมหนึ่งซึ่งเป็นชนกกรรม แต่ว่าขณะใดก็ตามที่เป็นปฏิสนธิจิต ขณะนั้นอารมณ์ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นเมื่อได้ศึกษาเรื่องของจิตแต่ละประเภท ควรที่จะได้ทราบว่า จิตนั้นเป็นชาติอะไร จิตนั้นเป็นภูมิอะไร จิตนั้นรู้อารมณ์อะไร จิตนั้นอาศัยทวารอะไร และจิตนั้นทำกิจอะไร อาจจะทำให้บางท่านคิดว่ายุ่งยาก แต่แท้ที่จริงแล้วถ้าเข้าใจว่าเป็นจิตในขณะนี้ที่สามารถจะเข้าใจได้ สามารถที่จะพิจารณาพิสูจน์รู้ได้ ก็จะทำให้เป็นผู้ละเอียดที่จะเข้าใจว่า พี่เข้าใจว่าเป็นชีวิตของท่าน แล้วที่จริงก็เป็นการเกิดดับสืบต่อของจิตในแต่ละภพในแต่ละชาตินั่นเอง

    ข้อความในวิมานวัตถุมีหลายสูตรทีเดียวที่แสดงอย่างนั้น ซึ่งข้อความในอรรถกถาขุททกนิกาย อรรถกถาจัณฑาลิวิมาน ข้อความว่า

    พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์ ในเวลาใกล้รุ่งทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติที่พระพุทธเจ้าปฏิบัติกันมาแล้ว เมื่อทรงออกแล้วตรวจดูโลกอยู่ ได้ทรงเห็นหญิงจัณฑาลแก่คนหนึ่งซึ่งอยู่ในจัณฑาลิคาม ในนครนั้นนั่นเองสิ้นอายุ ก็กรรมของนางที่นำไปนรกปรากฏชัดแล้ว.

    พระองค์ทรงมีพระทัยอันพระมหากรุณาให้ขะมักเขม้นแล้วทรงดำริว่า เราให้นางทำกรรมอันนำไปสู่สวรรค์ จักห้ามการเกิดในนรกของนางด้วยกรรมนั้น ให้ดำรงอยู่บนสวรรค์ จึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่.

    ก็สมัยนั้น หญิงจัณฑาลีนั้นถือไม้ออกจากนคร พบพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จมาได้ยืนประจันหน้ากันแล้ว. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนตรงหน้าเหมือนห้ามมิให้นางไป.

    ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะรู้พระทัยของพระศาสดา และความหมดอายุของหญิงนั้นแล้ว เมื่อจะให้นางถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า

    ดูก่อนแม่จัณฑาลี ท่านจงถวายบังคมพระบาทยุคลของพระโคดม ผู้มีพระเกียรติยศเถิด พระโคดมผู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๗ ประทับยืนเพื่ออนุเคราะห์ท่านคนเดียว ท่านจงทำจิตให้เลื่อมใสยิ่งในพระองค์ผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้คงที่ แล้วจงรีบประคองอัญชลี ถวายบังคมเถิด ชีวิตของท่านน้อยเต็มที.

    พระเถระ เมื่อระบุพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถา ๒ คาถาอย่างนี้ อยู่ในอานุภาพของตน ทำนางให้สลดใจด้วยการชี้ชัดว่า นางหมดอายุ ประกอบนางไว้ในการถวายบังคมพระศาสดา.

    ก็นางได้ฟังคำนั้นแล้ว เกิดสลดใจ มีใจเลื่อมใสในพระศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ประคองอัญชลีนมัสการอยู่ ได้ยืนมีจิตเป็นสมาธิ ด้วยปีติอันซ่านไปในพระพุทธคุณ.

    พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปพระนครพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ด้วยทรงดำริว่า เท่านี้ก็พอจะให้นางเกิดในสวรรค์ได้ดังนี้.

    ต่อมา แม่โคลูกอ่อนตัวหนึ่งหันวิ่งตรงไปจากที่นั้น เอาเขาขวิดนางจนเสียชีวิต.

    ท่านพระสังคีติกาจารย์เพื่อแสดงเรื่องนั้นทั้งหมด ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า

    หญิงจัณฑาลผู้นี้ อันพระมหาเถระผู้มีตนอันอบรมแล้ว ธำรงไว้ซึ่งสรีระอันสุดท้าย ตักเตือนแล้ว จึงถวายบังคมพระบาทยุคลของพระโคดมผู้มีพระเกียรติยศ แม่โคได้ขวิดนางในขณะที่กำลังยืนประคองอัญชลี นมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ส่องแสงสว่างในโลกมืดดังนี้.

    ก็นางจุติจากนั้นไปบังเกิดในภพดาวดึงส์.

    แต่ไม่ได้แสดงว่า นางมีอะไรเป็นอารมณ์ของปฏิสนธิจิต เพียงแต่แสดงว่า กรรมอะไรที่ทำให้ปฏิสนธิในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    บุคคลที่เกิดไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม แล้วแต่กรรมที่เป็นชนกกรรม แต่ว่าอาจจะเป็นการนึกถึงอารมณ์นั้น เมื่อชวนจิตดับ ภายหลังจุติจิตเกิดแล้วก็ดับ ปฏิสนธิจิตก็มีอารมณ์เดียวกับชวนจิตสุดท้ายซึ่งเป็นการนึกถึงกรรม หรือว่าบางครั้งอาจจะไม่ใช่การนึกถึงกรรม แล้วแต่ว่าจะเป็นอารมณ์อะไรก็ตาม ซึ่งชวนจิตขณะนั้นกำลังเสพกำลังมีอารมณ์นั้นก่อนจุติ แล้วเมื่อจุติดับแล้ว ปฏิสนธิจิตก็มีอารมณ์นั้น ขณะที่กำลังเห็น เมื่อวิถีจิตทางตาดับหมดแล้วก็สิ้นชีวิตได้ ขณะที่กำลังได้ยินเสียง เมื่อโสตทวารวิถีดับหมดแล้ว จุติจิตก็เกิดได้ ปฏิสนธิจิตก็เกิดต่อ โดยที่ไม่ได้ทรงแสดงไว้ละเอียดว่า เมื่อปฏิสนธิ หญิงจัณฑาลผู้นี้มีอารมณ์ใด จะมีกรรมเป็นอารมณ์ หรือว่าจะมีกรรมนิมิตเป็นอารมณ์ หรือว่ามีคตินิมิตเป็นอารมณ์ ถ้าเป็นคตินิมิตรก็หมายความว่า เห็นนิมิตของคติที่จะเกิด เห็นเปลวไฟนรก หรือว่าเห็นสถานที่รื่นรมย์ของสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใดก็ได้



    หมายเลข 3
    4 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ