ชุด วิถีจิต แผ่นที่ ๑ ตอนที่ ๒
ในขณะที่เป็นจักขุทวารวิถีจิต ซึ่งกำลังมีรูปที่มีอายุ ๑๗ ขณะจิต ยังไม่ดับ เป็นขณะที่สั้นมาก สั้นจนไม่ทราบว่าจะเปรียบเทียบอย่างไรดี เพราะในขณะนี้ที่รู้สึกว่า เหมือนคนกำลังเคลื่อนไหว นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า วิถีจิตทางตาเกิด และดับไป และภวังคจิตก็เกิดต่อ และวิถีจิตทางใจก็เกิดรับรู้หลายวาระ จึงจะมีการเห็นสิ่งที่ปรากฏซึ่งดับไปอย่างรวดเร็วสืบต่อจนกระทั่งทำให้ดูเสมือนว่า เป็นคนที่กำลังเคลื่อนไหว
เพราะฉะนั้น เพียงชั่ววาระแรกที่เป็นมโนทวารวิถีเกิดขึ้น สั้นมากเกินกว่า ที่จะรู้สึกตัวได้ แต่ก็เป็นความยินดีพอใจที่เกิดขึ้น ยินดีพอใจในภพในชาติ
ผู้ฟัง ขณะอยู่ในครรภ์มารดาก็กระทบทางกายได้ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ได้ แต่ทีหลัง จะไม่มีการเกิดที่รวดเร็วเท่ากับการสะสมความยินดีพอใจในภพชาติ ซึ่งหลังจากปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ภวังคจิตดับไปแล้ว มโนทวารวิถีจิต ก็เกิดขึ้นยินดีพอใจในภพชาติที่เกิด
จะขอกล่าวถึงความสัมพันธ์ของนามธรรม และรูปธรรมในภูมิ ที่มีขันธ์ ๕ เพราะว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นั้น นามธรรม และรูปธรรมอาศัยกัน และกันเกิดขึ้นเป็นไป แต่ทั้งๆ ที่นามธรรม และรูปธรรมอาศัยกัน และกัน แต่ขณะใดก็ตามที่จิตไม่มีรูปหนึ่งรูปใดปรากฏเป็นอารมณ์ ขณะนั้นก็เสมือนกับว่ารูปที่เกิดขึ้น และดับไปนั้น ไม่มีความหมาย ไม่มีความสำคัญอะไรเลย
เพราะฉะนั้น ควรที่จะได้ทราบความสัมพันธ์ของจิต เจตสิก และรูปในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ตั้งแต่ปฏิสนธิ เพื่อที่จะได้เห็นว่า ขณะใดเป็นขณะที่รูปปรากฏ และขณะใดแม้มีรูปเกิดดับก็จริง แต่เมื่อรูปนั้นไม่ปรากฏ ก็เหมือนกับว่าไม่มีความสำคัญอะไร
รูปทั้งภายใน และภายนอกร่างกายในขณะนี้ ทุกรูปอาศัยสมุฏฐานเกิดขึ้น และดับไป โดยที่มีอายุเพียง ๑๗ ขณะจิตเท่านั้น บางคนก็สงสัยว่า เฉพาะรูปภายในเท่านั้นหรือที่มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แต่ความจริงไม่ว่าจะเป็นรูปภายใน หรือรูปภายนอกก็ตาม จะเกิดจากสมุฏฐานใดๆ ก็ตาม คือ จะเกิดจากกรรม เป็นสมุฏฐาน หรือเกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน หรือเกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐาน หรือ เกิดจากอาหารเป็นสมุฏฐาน รูปที่เกิดขึ้นที่เป็นสภาวรูปจะต้องมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะเท่านั้น
ใครจะรู้ หรือใครจะไม่รู้ก็ตาม จะอยู่ที่ไหนไกลแสนไกลอย่างไรก็ตาม รูปที่เกิดขึ้นก็ต้องมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะเท่านั้น
และสำหรับการเปลี่ยนภพชาติ จากอดีตชาติมาเป็นปัจจุบันชาติก็ดี หรือ จากปัจจุบันชาติเป็นชาติหน้าก็ดี เป็นไปโดยไม่รู้ตัวเลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สำหรับวิบากจิตซึ่งเป็นจิตที่เป็นผลของกรรม แม้เกิดขึ้นกระทำกิจการงานต่างๆ ก็ไม่สามารถรู้ได้ เช่น ปฏิสนธิจิต เป็นต้น
ก่อนจุติจากชาติก่อน แต่ละท่านเป็นใคร อยู่ที่ไหน ไม่มีใครสามารถทราบได้ อาจจะเป็นสัตว์ดิรัจฉานอยู่ในมหาสมุทร มีรูปร่างที่เล็กที่สุด แต่ปัจจุบันชาตินี้ ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งในโลก หรือชาติก่อนอาจจะเกิดในนรก ได้รับความทรมานมากมาย เมื่อจุติจิตจากชาติก่อนก็ปฏิสนธิเป็นคนหนึ่งในโลกมนุษย์ หรือชาติก่อนอาจจะเป็นเปรตที่มีความทุกข์ทรมานแสนสาหัสด้วยความหิว แต่ขณะนี้ก็เป็นมนุษย์ที่จำไม่ได้ถึงความหิวกระหายในชาติก่อนที่เกิดเป็นเปรต และจากเปรตสู่ความเป็นมนุษย์ จากดิรัจฉานสู่ความเป็นมนุษย์ จากอสุรกายสู่ความเป็นมนุษย์ จากความ เป็นเทวดาชั้นหนึ่งชั้นใดสู่ความเป็นมนุษย์ หรือจากความเป็นรูปพรหมในชาติก่อน สู่ความเป็นมนุษย์ในชาตินี้ หรืออาจจะถึงความเป็นอรูปพรหมในอรูปภูมิในชาติก่อน มาเป็นมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงจากชาติก่อนสู่ชาตินี้ จะไม่รู้สึกตัวเลย
นั่นคือจิตที่เป็นวิบาก ซึ่งถ้าได้พิจารณาเรื่องของวิบากจิต โดยการศึกษาปรมัตถธรรม โดยการศึกษาเรื่องของจิตโดยละเอียด จะเห็นได้ว่า มีจิตมากมายหลายประเภท ที่เป็นวิบากจิตก็มีหลายประเภท แต่ส่วนใหญ่แล้วจิตที่เป็นวิบากนั้น ไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น ในขณะที่เปลี่ยนจากชาติก่อนมาเป็นชาตินี้ แม้จุติจิตของ ชาติก่อนเกิดแล้วดับก็ไม่รู้ตัว และเมื่อปฏิสนธิจิตในชาตินี้เกิดขึ้นแล้วดับก็ไม่รู้ตัว
ก่อนตายชาติก่อนอาจจะประสบอุบัติเหตุก็ได้ ใช่ไหม ไม่มีใครรู้เลยว่า จากชาติก่อนโดยสภาพใด เป็นโรคเจ็บป่วยประเภทไหน มีความทุกข์ทรมาน หรือ มีความสุขสำราญอย่างไร และการจะจากโลกนี้ไปสู่ชาติหน้าก็เช่นเดียวกัน คือ อาจจะเป็นขณะไหนได้ทั้งสิ้น ขณะที่กำลังได้ยินได้ฟังพระธรรมในขณะนี้ และจุติจิต ก็เกิด และก็จากความเป็นบุคคลนี้ไป แล้วแต่ว่าจะไปเป็นสัตว์เล็กๆ หรือจะ เป็นเปรตอีก เป็นอสุรกายอีก เป็นเทวดาอีก เกิดในนรกอีกก็ได้ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ควรที่จะทราบว่า สำหรับในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นมีรูปซึ่งเกิดจากกรรมในครรภ์ ถ้าเป็นมนุษย์ก็มีรูป ๓ กลุ่มเล็กๆ ได้แก่ กลุ่มของรูปที่เป็นที่เกิดของจิต ๑ กลุ่ม คือ หทยทสกะ กลุ่มของรูปที่เป็น เพศหญิงหรือเพศชาย ๑ กลุ่ม คือ ภาวทสกะ และกลุ่มของปสาทรูปที่เป็นกายทสกะอีก ๑ กลุ่ม ขณะนั้นนามธรรม และรูปธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
นี่คือการที่จะเข้าใจเรื่องของนามธรรม และรูปธรรมโดยละเอียด เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิ เพื่อจะได้เข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้วที่เรามีความยินดีพอใจในรูปบ้าง ในเสียงบ้าง ในกลิ่นบ้าง ในรสบ้าง ในโผฏฐัพพะบ้างนั้น เป็นชั่วขณะเวลาที่เล็กน้อยมาก แม้ว่ามีรูปเกิดร่วมด้วย แต่ขณะใดที่รูปนั้นไม่ปรากฏ ไม่ได้ยึดถือผูกพันในรูปนั้นเลยว่า เป็นร่างกายของเรา แม้แต่กลุ่มของรูป ๓ กลุ่ม หรือ ๓ กลาปเล็กๆ ๓ กลุ่มนั้น ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดมีรูป ๓ กลุ่มนี้เกิดร่วมด้วย ก็ไม่มีการยึดถือในรูป ๓ กลุ่มนั้นว่าเป็นเรา และรูป ๓ กลุ่มนั้นก็มีอายุเพียงแค่ ๑๗ ขณะของจิต และดับไป เพราะฉะนั้น มีความสำคัญอะไรระหว่างปฏิสนธิจิตกับรูปเล็กๆ ๓ กลุ่มนั้น
ในรูปเล็กๆ ๓ กลุ่ม เฉพาะหทยรูปรูปเดียวเป็นที่เกิดของจิต เพราะว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นามธรรมที่เกิดขึ้นจะต้องเกิดที่รูป
เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนามธรรม และรูปธรรมในขณะที่เกิด คือ รูปแม้ว่าจะเป็นกัมมชรูป เป็นรูปที่เกิดจากกรรม แต่ถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิดก็เกิดไม่ได้ กัมมชรูปเกิดพร้อมกับจิต และเจตสิกในขณะนั้น แต่แม้มีรูป ๓ กลุ่ม เฉพาะรูปที่เป็นหทยวัตถุรูปเดียวเท่านั้นที่เป็นที่เกิดของจิต และหทยรูปนี้ก็มีอายุ ๑๗ ขณะของจิต และดับไป แต่ปฏิสนธิจิตนั้นดับเร็วกว่า ปฏิสนธิจิตเมื่อเกิดขึ้น ก่อนที่รูปจะดับ ปฏิสนธิจิตนั้นก็ดับแล้ว ในขณะนั้นรูปเป็นที่เกิดของจิตเพียงรูปเดียว
สำหรับภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตจะเกิดนอกรูปไม่ได้เลย และส่วนใหญ่จิตจะเกิดที่รูป ซึ่งชื่อว่า หทยรูป แม้ในขณะนี้เอง เว้นจิต ๑๐ ดวง คือ เว้นจิตเห็น จักขุวิญญาณ ๒ ดวง เว้นโสตวิญญาณ จิตได้ยิน ๒ ดวง เว้นฆานวิญญาณ จิตได้กลิ่น ๒ ดวง เว้นชิวหาวิญญาณ จิตลิ้มรส ๒ ดวง เว้นกายวิญญาณ จิตรู้โผฏฐัพพะ ๒ ดวง ขณะนี้เว้นจิต ๑๐ ดวงนี้ จิตกำลังเกิดดับอยู่ที่หทยรูป แต่ไม่มีใครรู้ เพราะว่า รูปก็เป็นรูป นามก็เป็นนาม แม้ว่านามจะเกิดดับ รูปจะเกิดดับ แต่ขณะใดที่ไม่เป็นอารมณ์ของจิต ขณะนั้นก็จะไม่มีการยึดถือรูปใดๆ ว่า เป็นเรา หรือเป็นร่างกาย ของเราเลย
ที่มา ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1796
นาที 11:07
นี่คือก่อนที่ทุกท่านจะมานั่งอยู่ที่นี่ เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นขณะแรก ต่อจากนั้นก็เป็นภวังคจิต และมีรูปเล็กๆ ซึ่งรูปนั้นก็เกิดดับ และสืบต่อจนกว่าจะมีร่างกายครบสมบูรณ์ แต่ก่อนที่จะมีร่างกายครบสมบูรณ์ หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับไป ภวังคจิตดับไป วาระแรกที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่นที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ คือ มโนทวารวิถีจิต เกิดขึ้นยินดีพอใจในภพชาติที่กำลังเป็นอยู่ ในขณะนั้นจิตเกิดที่หทยรูป ยังไม่รู้อะไรทั้งสิ้น โลกมืดสนิท เพราะว่าไม่มีการเห็นก็ต้องมืด ซึ่งในขณะที่เป็นปฏิสนธิจิต ไม่มีการรู้สึกตัวเลย และในขณะที่เป็นภวังคจิตก็ไม่มีการรู้สึกตัวเลย ขณะที่วิถีจิตทางมโนทวารเกิดขึ้นยินดีพอใจในภพชาติ ขณะนั้นไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ขณะนั้นให้รู้ว่าเป็นโลกที่มืด
อย่างท่านที่มีความสงสารผู้ที่กำลังโคม่า ก็กล่าวว่า มีความสงสารท่านผู้นั้นมาก แต่ตามความเป็นจริง ถ้ารู้สภาพของจิตที่เกิดดับสืบต่อทำกิจจริงๆ จะเห็นว่าเป็นปกติธรรมดา เพราะว่าขณะใดที่ไม่รู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใด ขณะนั้นไม่รู้สึกตัว และถ้าเป็นการรู้อารมณ์เฉพาะทางมโนทวาร ก็เหมือนกับตอนที่ปฏิสนธิจิตเกิด และ ดับไป ภวังคจิตเกิดต่อ และวิถีจิตวาระแรก คือ การรู้อารมณ์ทางมโนทวารนั่นเอง ซึ่งก็เหมือนกับบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่กำลังไม่รู้สึกตัว ที่กำลังโคม่า และคนอื่นก็สงสาร แต่ความจริงแล้วควรสงสารใคร เพราะว่าในขณะนั้นไม่ปวด ไม่เจ็บ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน อาจจะมีการคิดนึก เหมือนกับตอนที่เกิด และมโนทวารวิถีจิตก็เกิดขึ้นคิดนึก ก็ไม่มีความต่างกันเลย
ถ้าพิจารณารู้ลักษณะสภาพของจิตจริงๆ แล้ว ก็ไม่มีความแปลก เป็นแต่ว่า ขณะใดวิถีจิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตา ก็ดับไปหมด และเป็นภวังค์ และต่อมา จิตอาจจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางหู และก็ดับไปหมดอีก การเกิดขึ้นที่จะรู้อารมณ์ แต่ละครั้งก็เป็นไปอย่างสั้นมากทีเดียว
เพราะฉะนั้น ได้ทราบแล้วว่า ปฏิสนธิจิตเกิดที่รูป ที่หทยวัตถุ ภวังคจิตเกิดที่รูป ที่หทยวัตถุ และจิตส่วนใหญ่เกิดที่รูป ที่หทยวัตถุ
หทยวัตถุเป็นเพียงที่เกิด ไม่ใช่ทวาร คือ ไม่ใช่ทางที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ขณะที่นอนหลับสนิทกับขณะที่โคม่า ไม่รู้สึกตัว ต่างกันไหม ต่างหรือ ไม่ต่าง
ขณะที่นอนหลับสนิทไม่รู้สึกตัว น่าสบายไหม ไม่ต้องเห็น น่าสบายดี ไม่มีอารมณ์ที่จะมาทำให้เดือดร้อน คือ เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจทางตา ไม่ถูกตา ไม่ถูกใจ ไม่ต้องเห็น ขณะที่นอนหลับสนิท ไม่ต้องได้ยิน ไม่ต้องได้กลิ่น ไม่ต้องลิ้มรส ไม่ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะนั้นก็เหมือนกับคนที่โคม่าเหมือนกัน เพราะว่าขณะนั้นเป็นภวังคจิต
ถ้าร่างกายของบุคคลใดกำลังมีสภาพที่คนอื่นมองเห็นแล้วสงสารด้วยความ เป็นห่วงว่าน่าจะเจ็บมาก เช่น คนที่ผ่าตัดหรือได้รับอุบัติเหตุอย่างร้ายแรง มีสภาพที่ปรากฏเหมือนกับว่าทุกข์ทรมาน แต่ขณะใดที่ภวังคจิตกำลังเกิดดับสืบต่อ ขณะนั้น ไม่เดือดร้อนเลย จะสงสารคนที่นอนหลับไหม ถ้าไม่สงสารคนที่กำลังนอนหลับ คนที่ผ่าตัด และจิตเป็นภวังค์ ก็ไม่รู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ถ้ามโนทวารวิถีจิตเกิดก็ไม่เจ็บ เพราะว่าขณะนั้นไม่มีการรู้โผฏฐัพพะการกระทบสัมผัสกายใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงก็รู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลเลย แล้วแต่ว่าจิตเจตสิกจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ใด
คนรอบข้างของคนป่วยหนักอาจจะเป็นทุกข์เดือดร้อน ปฐมพยาบาลด้วยวิธี ต่างๆ แต่คนไข้ที่กำลังเป็นภวังคจิตไม่เดือดร้อนหรือเป็นทุกข์เลย เหมือนกับขณะที่กำลังหลับสนิทจริงๆ หรือเหมือนกับคนที่เป็นลมปัจจุบัน คนที่มองเห็นก็เห็นว่า กำลังชัก กำลังกระตุก กำลังเกร็ง ร่างกายกำลังเย็นจัด แต่คนที่เป็นภวังคจิตไม่รับรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่ได้เดือดร้อนเลย
แสดงให้เห็นว่าไม่มีความต่างกันของรูป ถ้าขณะนั้นจิตไม่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ แต่ถ้าจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางกายขณะใด ไม่ว่าจะโคม่า หรือไม่โคม่า ขณะนั้นก็ เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเท่านั้นสำหรับทางกาย ซึ่งสภาพความรู้สึกที่เกิดกับกายวิญญาณต้องเป็นทุกขเวทนา หรือสุขเวทนา เหมือนปกติธรรมดา
ทุกคนที่กำลังสงสารคนที่เจ็บหนักโคม่า ถ้าพิจารณาจริงๆ ใครน่าสงสาร คนที่ไม่รู้สึกตัว ไม่น่าสงสาร แต่คนที่กำลังสงสารคนที่กำลังป่วยเจ็บ ขณะนั้นความรู้สึกเป็นโทมนัสเวทนา
การเป็นผู้ละเอียดในการพิจารณาสภาพธรรม จะทำให้รู้ขณะจิตของตนเองว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล และจะมีความมั่นคงไม่หวั่นไหวในสภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะเป็นผู้ที่รู้ลักษณะสภาพของจิตในขณะนั้นได้ถูกต้อง
สำหรับปฏิสนธิจิต เกิดที่หทยวัตถุ ภวังคจิตเกิดที่หทยวัตถุ หทยวัตถุ ไม่ใช่ทวาร ไม่ใช่ทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ เป็นแต่เพียงที่เกิดของจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕
ขณะนี้หทยวัตถุก็กำลังเกิด ไม่รู้เลย และจิตก็กำลังเกิดที่หทยวัตถุ ก็ไม่รู้ด้วย แต่จะรู้รูปต่อเมื่อเห็น ต่อเมื่อได้ยิน แม้ว่าขณะนั้นมีหทยวัตถุซึ่งเป็นที่เกิดของจิตอื่นๆ ที่ไม่ใช่จิตเห็น จิตได้ยิน แต่แม้กระนั้นก็ไม่สามารถรู้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นในภูมิที่มี ขันธ์ ๕ จิตเจตสิกก็ต้องเกิดที่รูป
ที่มา ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1797
นาที 19:25
ขณะนั้นก็ยังไม่ถึงขณะนี้ เพราะว่าขอย้อนกลับไปถึงตอนที่ปฏิสนธิจิตเกิด และก็มีรูปเล็กๆ ๓ กลุ่ม และหลังจากนั้นก็มีรูปที่เกิดจากกรรม รูปที่เกิดจากจิต รูปที่เกิดจากอุตุ รูปที่เกิดจากอาหาร ก็ทยอยกันเกิดดับอยู่เรื่อยๆ และจิตก็เป็นภวังค์ ในขณะนั้นจิตเกิดดับที่หทยวัตถุแต่ว่ายังไม่รู้แม้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย แม้ว่าจะมีกายปสาทรูปแล้ว