ปัญหาของท้าวสักกะ ๓
ข้อความในพระไตรปิฎกตอนหนึ่งใน ทีฆนิกาย มหาวรรค สักกปัญหสูตร ข้อ ๒๕๖ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงมูลเหตุของความตระหนี่กับท้าวสักกะจอมเทพ คือ พระอินทร์ ในถ้ำอินทสาละ ณ เวทิยกบรรพต ด้านทิศอุดรแห่งพราหมณคาม ชื่ออัมพสัณฑ์ อันตั้งอยู่ด้านทิศปราจีนแห่งนครราชคฤห์ ในแคว้นมคธ
ข้อความมีว่า
... ท้าวสักกะจอมเทพได้ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคยิ่งขึ้นไปว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็ความริษยาและความตระหนี่มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี ความริษยาและความตระหนี่จึงมี เมื่ออะไรไม่มี ความริษยาและความตระหนี่จึงไม่มี ฯ
ผู้ที่จะขัดเกลาละคลายกิเลสต้องรู้ ถ้าไม่รู้ก็ไม่สามารถที่จะละความริษยา ความตระหนี่ หรือกิเลสต่างๆ ได้ เพราะไม่ทราบว่ามีอะไรเป็นสมุทัย คือ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี ความริษยาและความตระหนี่จึงมี เมื่ออะไรไม่มี ความริษยาและความตระหนี่จึงไม่มี
คงไม่มีใครอยากจะมีความริษยาและความตระหนี่มากๆ รู้ว่าความตระหนี่เป็นอกุศล อยากจะให้หมด แต่ตรงกันข้าม หมดไม่ได้ มีแต่ความพอใจ มีแต่ความ ติดข้อง มีแต่ความหวงแหน มีแต่การที่ไม่สามารถจะสละให้ จนกว่าปัญญาจะรู้จริงๆ ในเหตุของความตระหนี่ และต้องอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่สามารถจะดับกิเลสเป็นสมุจเฉทด้วย
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร จอมเทพ ความริษยาและความตระหนี่มีอารมณ์เป็นที่รักและอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นเหตุ เป็นสมุทัย เป็นกำเนิด อันเป็นแดนเกิด เมื่ออารมณ์อันเป็นที่รักและอารมณ์อันไม่เป็นที่รักมีอยู่ ความริษยาและความตระหนี่จึงมี เมื่ออารมณ์อันเป็นที่รักและอารมณ์อันไม่เป็นที่รักไม่มี ความริษยาและความตระหนี่จึงไม่มี ฯ
ถ้าไม่มีอารมณ์ซึ่งเป็นที่รัก ก็คงจะไม่มีการติด และคงจะไม่มีการหวงแหน แต่ว่าไม่ใช่เพียงอารมณ์อันเป็นที่รักเท่านั้นที่เป็นสมุทัยของความริษยาและความตระหนี่ ยังมีอารมณ์อันไม่เป็นที่รักด้วยเป็นกำเนิด เป็นแดนเกิดของความริษยาและความตระหนี่ ซึ่งท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า เวลาที่ความริษยาเกิดขึ้น จะริษยาในบุคคลซึ่งท่านไม่รักหรือว่าไม่เป็นที่รักของท่าน ถ้าบุคคลที่เป็นที่รักมีความเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ท่านจะดีใจปลาบปลื้ม หรือว่าจะริษยา เพราะฉะนั้น ความริษยา มีอารมณ์อันไม่เป็นที่รักเป็นสมุทัยด้วย
ความตระหนี่ก็เช่นเดียวกัน ความหวงแหนสิ่งที่ท่านมี ไม่สามารถที่จะสละ แบ่งปันให้กับบุคคลซึ่งไม่เป็นที่รัก แต่กับบุคคลซึ่งเป็นที่รัก ไม่มีการหวงแหน ไม่มีการตระหนี่เลย
เมื่อท้าวสักกะจอมเทพได้ฟังแล้ว ก็ได้ทูลถามถึงเหตุของอารมณ์อันเป็นที่รัก และอารมณ์อันไม่เป็นที่รัก เพราะจะเป็นเพียงอารมณ์ธรรมดาๆ เท่านั้นไม่ได้หรือ เพราะเหตุใด เหตุของความริษยาและความตระหนี่จึงต้องเป็นอารมณ์อันเป็นที่รัก และอารมณ์อันไม่เป็นที่รักด้วย
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร จอมเทพ อารมณ์อันเป็นที่รักและอารมณ์อันไม่เป็นที่รักมีความพอใจ เป็นเหตุ เป็นสมุทัย เป็นกำเนิด เป็นแดนเกิด เมื่อความพอใจมี อารมณ์อันเป็นที่รักและอารมณ์อันไม่เป็นที่รักจึงมี เมื่อความพอใจไม่มี อารมณ์อันเป็นที่รักและอารมณ์อันไม่เป็นที่รักจึงไม่มี ฯ
นี่เป็นชีวิตประจำวันซึ่งท่านผู้ฟังอาจจะไม่ทราบว่า ทำไมเวลาที่อารมณ์ปรากฏ จึงไม่รู้ในสภาพของอารมณ์นั้นตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่ามีกิเลสเป็นผู้ประมาณอารมณ์นั้นให้เป็นที่รักหรือไม่เป็นที่รัก ตามลักษณะของกิเลสที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ท้าวสักกะจอมเทพจึงตรัสถามพระผู้มีพระภาคถึงเหตุของอารมณ์อันเป็นที่รักและอารมณ์อันไม่เป็นที่รักนั้นว่าคืออะไร ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ตรัสตอบว่า อารมณ์อันเป็นที่รักและอารมณ์อันไม่เป็นที่รักมีความพอใจเป็นเหตุ เป็นสมุทัย
ทันทีที่เห็น แทนที่จะเห็นเป็นเพียงอารมณ์ที่ปรากฏ ไม่ว่าจะทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจตามความเป็นจริง แต่กลับมีความพอใจเป็นเหตุให้อารมณ์นั้นเป็นที่รักทันที เป็นที่พอใจทันที เป็นที่ติดข้องทันที ถ้าไม่อบรมเจริญสติปัฏฐานจะทราบไหมว่า ทันทีที่เห็นในขณะนี้มีความพอใจ หรือไม่พอใจในอารมณ์ที่ปรากฏหรือเปล่า ซึ่งตามปกติย่อมมีความพอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเป็นประจำ แม้ว่าอารมณ์จะเกิดดับอย่างรวดเร็วสักเพียงไรก็ตาม ผู้ที่ยังมีอวิชชาอยู่เป็นปัจจัย ย่อมทำให้เกิดความยินดีในขณะที่มีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสอย่างรวดเร็ว ในขณะที่สติไม่เกิด
ขอให้พิจารณาถึงเสียงที่กำลังปรากฏ ดูเหมือนว่าเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ความไม่รู้เสียงยังมี เพราะฉะนั้น ในขณะใดที่เสียงปรากฏ ย่อมมีจิตซึ่งยินดีพอใจในเสียงที่ปรากฏ ถ้าขณะนั้นสติไม่ระลึกรู้ในลักษณะของเสียงที่ปรากฏว่า เป็นเพียงสภาพธรรมที่ปรากฏแล้วก็หมดไป
ไม่รู้เลยใช่ไหม ในวันหนึ่งๆ แต่ตามความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าสติไม่เกิด วันหนึ่งๆ จิตเป็นไปในอกุศลอย่างมากทีเดียว
ข้อความต่อไป ท้าวสักกะจอมเทพทูลถามต่อไปถึงเหตุของความพอใจว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ความพอใจมีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่ออะไรมี ความพอใจจึงมี เมื่ออะไรไม่มี ความพอใจจึงไม่มี ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร จอมเทพ ความพอใจมีความตรึกเป็นเหตุ เป็นสมุทัย เป็นกำเนิด เป็นแดนเกิด เมื่อความตรึกมี ความพอใจจึงมี เมื่อความตรึกไม่มี ความพอใจจึงไม่มี ฯ
ในวันหนึ่งๆ เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ตลอดทางที่จะมาฟังธรรม หรือว่าขณะที่เดินผ่านไปทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง เห็นสิ่งนั้นบ้าง เห็นสิ่งนี้บ้าง บางครั้งก็ไม่ได้สังเกต ไม่ได้สนใจในสิ่งที่เห็นเลย เกือบจะไม่รู้ด้วยว่าเห็นอะไร ถ้าท่านผู้ฟังไปตามแถวที่มีของขายมากมาย ท่านเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่วางขาย หรือว่าบางอย่างก็ไม่เห็นเลย อาจจะเข้าไปในร้านหนึ่งที่มีของขายหลายอย่าง แต่ก็ไม่ได้เห็นทั่วหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นแต่เพียงบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น ในขณะนั้นอาจจะไม่ทราบว่า มีความพอใจในการเห็น ในสิ่งที่เห็นเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่พระผู้มีพระภาคตรัสกับท้าวสักกะจอมเทพว่า ดูกร จอมเทพ ความพอใจมีความตรึกเป็นเหตุ เป็นสมุทัย เป็นกำเนิด เป็นแดนเกิด
ความตรึก คือ ความคิดถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังจะพิสูจน์ธรรมได้ว่า เป็นความจริงอย่างนั้นไหม ที่บางครั้งเห็นเหมือนไม่เห็น เพราะว่าไม่ได้สนใจ และไม่ได้ตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ แต่เวลาที่มีความยินดีพอใจเกิดขึ้น ขณะนั้น เพราะรู้ในรูปร่างสัณฐาน คือ ตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ
การอบรมเจริญสติปัฏฐาน ปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง รู้ว่าในขณะที่เห็น ไม่ใช่ในขณะที่ตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานที่จะละความยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ปัญญาจะรู้ละเอียดจริงๆ คือ พิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างตามความเป็นจริง รู้ว่าในขณะที่เห็นไม่ใช่ในขณะที่คิดถึงรูปร่างสัณฐาน และถ้ามีความยินดีพอใจเกิดขึ้น ลักษณะของความยินดีพอใจนั้นก็เกิดเมื่อมีการตรึกนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ
ที่มา ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 799
นาที 11:19
ท้าวสักกะจอมเทพกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคต่อไป เพื่อที่จะได้รู้ถึงเหตุอันแท้จริงว่า ความตรึกซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพอใจนั้น ความตรึกนั้นมีอะไรเป็นเหตุ
ท่านผู้ฟังเคยพิจารณาคิดอย่างละเอียดอย่างนี้ไหม ในขณะที่มีความยินดีพอใจไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ เคยใคร่ครวญถึงเหตุของเหตุที่จะทำให้เกิดความพอใจนั้นหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่รู้ก็ไม่สามารถที่จะดับความยินดีพอใจนั้นได้ เพราะไม่รู้เหตุ แม้แต่ท้าวสักกะจอมเทพก็ยังกราบทูลถามว่า ความตรึกมีอะไรเป็นเหตุ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร จอมเทพ ความตรึกมีส่วนแห่งสัญญาอันประกอบด้วยปปัญจธรรม เป็นเหตุ เป็นสมุทัย เป็นกำเนิด เป็นแดนเกิด ฯลฯ
สัญญา คือ ความจำ ปปัญจธรรม คือ ธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้าในการเจริญกุศล สัญญา ความจำ เกิดกับจิตทุกขณะ ถ้าเกิดกับอกุศลจิตก็เป็นอกุศลสัญญา ถ้าเกิดกับกุศลก็เป็นกุศลสัญญา ขณะใดที่เกิดร่วมกับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ว่าเที่ยง ขณะนั้นสัญญานั้นก็เป็นอัตตสัญญา นิจจสัญญา และเป็นสุขสัญญาด้วย เวลาที่เกิดกับสุขเวทนาหรือโสมนัสเวทนา
เมื่อไรจะมีสัญญาที่ไม่ใช่อกุศลสัญญา ที่เป็นอนิจจสัญญา ทุกขสัญญา อนัตตสัญญาตามความเป็นจริง เพราะสัญญาจะต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ถ้าสติไม่เกิด การตรึกก็ตรึกไปในรูปร่างสัณฐานและก็มีการยึดถือจดจำว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ และสัญญาก็จำอย่างนั้นมาเรื่อยๆ ตราบใดที่สติไม่เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น การที่จะให้เกิดสัญญาที่ถูกต้อง ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน กุศลสัญญาจะต้องเกิดกับสติปัฏฐานที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมลักษณะหนึ่งลักษณะใดที่กำลังปรากฏ พร้อมปัญญาที่ศึกษาเริ่มรู้ในลักษณะของสภาพธรรมนั้น จนกว่าจะประจักษ์ในลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนขณะใด สัญญาในขณะนั้นจึงจำลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นอนัตตสัญญา และการรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงต้องเพิ่มขึ้น จนกว่าจะประจักษ์อนิจจลักษณะ คือ สภาพที่ไม่เที่ยง ที่เกิดขึ้นและก็ดับไป เมื่อนั้นก็จะเป็นอนิจจสัญญา
เพราะฉะนั้น สัญญามีมาก แต่ว่าเมื่อเกิดกับอกุศลจิต ก็เป็นอกุศลสัญญา
ที่มา ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 800
นาที 14:57
ข้อความใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค สักกสังยุต ตติยเทวสูตรที่ ๓ มีว่า
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี ฯ
ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีพระนามว่ามหาลี เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง เมื่อประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ได้ตรัสทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงเห็นท้าวสักกะจอมเทพหรือ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
แม้แต่เจ้าลิจฉวีก็ยังสงสัยว่า พระผู้มีพระภาคนั้นสามารถที่จะเห็นท้าวสักกะจอมเทพหรือไม่
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ดูกร มหาลี อาตมาเห็นท้าวสักกะจอมเทพ ถวายพระพร ฯ
เจ้าลิจฉวีพระนามว่ามหาลีกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ผู้ที่พระองค์ทรงเห็นนั้น จักเป็นรูปเปรียบของท้าวสักกะเป็นแน่ เพราะว่าท้าวสักกะจอมเทพยากที่ใครๆ จะเห็นได้ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
ยังไม่มั่นใจในพระปัญญา ในพระญาณของพระผู้มีพระภาคว่า สามารถที่จะเห็นท้าวสักกะจอมเทพได้จริงหรือเปล่า
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ดูกร มหาลี อาตมารู้จักท้าวสักกะด้วย รู้ธรรมเครื่องกระทำให้เป็นท้าวสักกะด้วย และรู้ถึงธรรมที่ท้าวสักกะได้ถึงความเป็นท้าวสักกะเพราะเป็นผู้สมาทานธรรมนั้นด้วย
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน เป็นมาณพชื่อว่ามฆะ เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวมฆวา
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ให้ทานมาก่อน เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวปุรินททะ
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ให้ทานโดยเคารพ เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวสักกะ
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ให้ที่พักอาศัย เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าววาสวะ
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพย่อมทรงคิดเนื้อความได้ตั้งพันโดยครู่เดียว เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวสหัสนัยน์
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพทรงมีนางอสุรกัญญานามว่าสุชาเป็นปชาบดี เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวสุชัมบดี
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเสวยรัชสมบัติเป็นอิสราธิบดีของทวยเทพชั้นดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า เทวานมินทะ ฯ
ท่านผู้ฟังมีชื่อเดียวหรือหลายชื่อ ตามคุณธรรมของท่าน บางท่านอาจจะมีหลายชื่อ แล้วแต่ว่าท่านประกอบคุณธรรมอย่างไรบ้าง
ข้อความต่อไป
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตรบท ๗ ประการบริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทานวัตรบท ๗ ประการ จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ วัตรบท ๗ ประการเป็นไฉน คือ เราพึงเลี้ยงมารดาบิดาจนตลอดชีวิต ๑ เราพึงประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต ๑ เราพึงพูดวาจาอ่อนหวานตลอดชีวิต ๑
ใครทำได้บ้าง กุศลจิตที่จะเกิด ที่จะเป็นผู้อ่อนโยน วิรัติวจีทุจริตที่เป็นวาจาที่หยาบกระด้างทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจ แต่ว่าท้าวสักกะได้ประพฤติวัตรบท ๗ ประการ ซึ่งข้อหนึ่งมีว่า เราพึงพูดวาจาอ่อนหวานตลอดชีวิต ๑
ถ้าใครเป็นผู้ที่พูดวาจาไม่อ่อนหวาน ให้ทราบว่า นั่นเป็นอกุศลจิต เปลี่ยนได้ แก้ได้ อบรมใหม่ได้ ให้เกิดกุศลได้
ข้อความต่อไป
เราไม่พึงพูดวาจาส่อเสียดตลอดชีวิต ๑ เราพึงมีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทินอยู่ครองเรือน มีการบริจาคอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการแจกจ่ายทานตลอดชีวิต ๑ เราพึงพูดคำสัตย์ตลอดชีวิต ๑ เราไม่พึงโกรธตลอดชีวิต ถ้าแม้ความโกรธพึงเกิดขึ้นแก่เรา เราพึงกำจัดมันเสียโดยฉับพลันทีเดียว ๑
ดูกร มหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตรบท ๗ ประการนี้บริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทานวัตรบท ๗ ประการดังนี้ จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ ฯ
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
เทวดาชั้นดาวดึงส์ กล่าวนรชนผู้เป็นบุคคลเลี้ยงมารดาบิดา มีปรกติประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล เจรจาอ่อนหวาน กล่าวแต่คำสมานมิตรสหาย ละคำส่อเสียด ประกอบในอุบายเป็นเครื่องกำจัดความตระหนี่ มีวาจาสัตย์ ครอบงำความโกรธได้นั้นแลว่า เป็นสัปบุรุษ ดังนี้
ที่มา ...