ไม่เป็นหมัน ไม่โมฆะ
การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจความจริงในชีวิตประจำวัน แล้วค่อยๆ สะสมความ รู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพื่อให้มีความมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะและเป็นอนัตตา ย่อมไม่เป็นหมันและไม่โมฆะ ตราบเท่าที่มั่นคงในหนทางที่ถูกต้อง จนกว่าจะบรรลุพระอริยสัจจธรรมและไม่ลืมว่าเป็นจิรกาลภาวนา (เป็นเวลา ยาวนานมากๆ จริงๆ)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เกียจคร้านประกอบด้วยธรรมอันเป็นบาปอกุศลย่อมอยู่เป็นทุกข์ และย่อมยังประโยชน์ของตนอันใหญ่ให้เสื่อมเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนบุคคลผู้ปรารภความเพียร ผู้สงัดจากธรรมอันเป็นบาปอกุศล ย่อมอยู่เป็นสุขและยังประโยชน์ของตนอันใหญ่ให้บริบูรณ์ได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การบรรลุธรรมอันเลิศด้วยธรรมอันเลิศ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายพรหมจรรย์นี้ ผ่องใส ควรดื่ม เพราะพระศาสดาอยู่พร้อมหน้าแล้ว เพราะเหตุฉะนี้แหละ ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงปรารภความเพียร เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่าบรรพชาของเราทั้งหลายนี้ จักไม่ต่ำทราม ไม่เป็นหมันมีผล มีกำไร
(คัดจาก พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ทุติยทสพลสูตร เล่มที่ ๒๖ หน้าที่ ๑๐๔ - ๑๐๖) "ทรัพย์เหล่านี้คือ ทรัพย์คือ ศรัทธา ๑ ทรัพย์คือ ศีล ๑ ทรัพย์คือ หิริ ๑ ทรัพย์คือ โอตตัปปะ ๑ ทรัพย์คือ สุตะ ๑ ทรัพย์คือจาคะ ๑ ปัญญาเป็นทรัพย์ที่ ๗ ย่อมมีแก่ผู้ใด จะเป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม บัณฑิตทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นว่า เป็นคนไม่ขัดสน ชีวิตของบุคคลนั้นไม่ว่างเปล่า (คือ ไม่เป็นโมฆะ) "
(คัดจาก พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่มที่ ๔๑ หน้าที่ ๑๙๕เรื่องสุปปพุทธกุฏฐิ)
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมจะทำให้มีความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริงยิ่งๆ ขึ้นไป แต่จะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการสั่งสมมาของแต่ละบุคคล พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นความจริง ซึ่งความจริงทั้งหลายนี่เองที่ทำให้ผู้รู้แจ้ง สามารถที่จะบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีหนทางอื่นที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางนั้นได้ นอกจากค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ ไม่ใจร้อน (เข้าใจพระธรรม ตามกำลังปัญญาของตนเอง) สำหรับผู้ที่มีปัญญา มีความเข้าใจถูก เห็นถูก จะมีชีวิตทีดีงาม และ มีความมั่นคงในการที่จะอบรมเจริญปัญญาต่อไป ย่อมชื่อว่า เป็นผู้มีชีวิตที่ไม่ว่างเปล่าจากประโยชน์และไม่เป็นหมัน เพราะการอบรมเจริญปัญญา มีผลอย่างอย่างแน่นอน ไม่ไร้ผล ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ข้อความจาก [เล่มที่ 73] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ ๒๒๖
กล่าวว่า พุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระวาจาไม่โมฆะ เปล่าประโยชน์พระวาจาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เปลี่ยนเป็นอื่น ดังนั้น การประพฤติปฎิบัติตรงตามพระธรรมคำสั่งสอนที่ถูกต้องย่อมไม่เป็นหมันและโมฆะแน่นอน
อนุโมทนาค่ะ
ปุนัพพสุสูตร ว่าด้วยนางยักษิณีและลูกน้อยปุนัพพสุและน้องสาว หากินอยู่ริมรั้ววัดเชตวัน พระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วเปลี่ยนเทสนาเป็นอริยสัจ ๔ นางยักษ์และปุนัพสุได้ยิน ได้บรรลุโสดาบัน แสดงให้รู้ว่าถ้านางยักษ์และลูกไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมมาก่อนการบรรลุก็เป็นไปไม่ได้ ซี่งการบรรลุก็มีจริง แสดงว่าการเข้าใจธรรมไม่เป็นหมันไม่โมฆะ เมื่อได้ฟังก็มีการสะสม เมื่อการสะสมมีมากขี้นความประพฤติของขันธ์ก็มีกำลังจนบรรลุเป็นโสดาบัน ครับ