ผู้ไม่หนีกรรม... ท่านพระโมคคัลลานะ
เรื่องคร่าวๆ อาจคลาดเคลื่อนนะครับ
ท่านอัครสาวกพระโมคคัลลานะ ท่านเคยถูกโจรไล่ทำร้ายหลายครั้ง ก็ใช้ฤทธิ์หลบหนีเมื่อท่านพิจารณาแล้วทราบว่าเป็นเพราะกรรมในอดีต ครั้งต่อมาท่านไม่หนีจึงถูกทำร้ายเสียชีวิต เหตุใดเมื่อหนีได้ถึงไม่หนี การหนีเป็นสิ่งผิดหรือ หรือครานี้ท่านไม่ยอมหนีก็จริง แต่กรรมเก่าต่างหากที่ทำให้ท่านไม่ยอมหนี มิใช่ไม่สามารถหนี หรือว่าเรื่องนี้ไม่มีเหตุผลอธิบาย เป็นอจินไตย กรณีนี้เข้าข้อใหนครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เมื่อกรรมจะให้ผล จะหนีหรือไม่หนีก็ต้องให้ผลอยู่ดี ท่านพิจารณารู้ว่ากรรมจะให้ผล จึงไม่หนีแม้จะมีฤทธิ์ แต่เมื่อกรรมให้ผลก็ทำให้ท่านพระมหาโคคัลลานะไม่สามารถแม้เหาะได้ในขณะนั้น (ขณะกรรมให้ผล) เพราะท่านรู้ว่ากรรมจะให้ผลและไม่สามารถเหาะหนีได้ ท่านจะหนีได้อย่างไร ท่านก็ไม่หนีครับ ซึ่งข้อความที่คุณอ่านในเรื่องนี้ในบางส่วนของพระไตรปิฎก จะไม่ได้แสดงเรื่องการหนีไมได้เมื่อกรรมให้ผล แม้เหาะก็เหาะหนีไม่ได้ จึงขอนำข้อความที่นำมาประกอบในบางส่วนเพื่อให้เข้าใจเพิ่มขึ้นนะครับ
ขอขอบพระคุณ ขออนุโมทนา
กรรมนี่น่ากลัวจริงๆ ครับ หากศรัทธาในเรื่องกรรมมีผล ซึ่งเป็นสัมมาทิฎฐิจริงๆ แล้ว ก็คงไม่กล้าทำบาปแม้นิดหนึ่ง แสดงว่าผมยังไม่ศรัทธาแท้จริงกระมัง?
เพราะเป็นปุถุชน ถึงอย่างไรก็ยังหวั่นไหว ผู้ตั้งมั่นคงดีแล้ว คือ พระอริยบุคคล นับแต่พระโสดาบันขึ้นไป ค่อยๆ สะสม อบรมเจริญกุศลเหตุค่ะ แต่ก็ยอมรับความจริงว่า อกุศลเหตุที่สะสมมาในอดีตอนันตชาติของแต่ละคน มากจนประมาณไม่ได้ แม้จะมีกุศลบ้างก็ส่วนน้อย ขอเพียงเข้าใจถูกว่า บุคคลเมื่อสะสมกุศลเหตุและอกุศลเหตุไว้ เมื่อถึงคราวถึงโอกาสที่ กรรมหนึ่งกรรมใดจะให้ผล ไม่มีผู้ใดหนีพ้นค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ ๓ โดย WS202398
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ไม่ใช่เราที่จะทำหรือไม่ทำบาป เมื่อยังมีกิเลสก็ยังจะต้องมีอกุศลเกิดขึ้น ผู้ที่จะไม่ล่วงศีล ๕ อีกเลย ต้องเป็นพระโสดาบัน ดังนั้นผู้ที่รู้จักเรื่องกรรมจริงๆ ก็คือรู้ว่าขณะไหนเป็นกรรม ขณะไหนเป็นผลของกรรม โดยไม่ใช่คิดเป็นเรื่องราวว่า คนนี้โดนรถชน เป็นผลของกรรมไม่ดี แต่ขณะไหนเล่าที่เป็นผลของกรรมที่ไม่ดี แต่ขณะนี้กำลังมีกรรมและมีผลของกรรม ทีละขณะจิต การอบรมปัญญาจึงต้องรู้ตรงลักษณะของกรรมและผลของกรรม เห็นเป็นผลของกรรม ได้ยินเป็นผลของกรรม รู้ตรงลักษณะนั้นด้วยการอบรมปัญญา (สติปัฏฐาน) ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราที่รับผลของกรรมและทำกรรมครับ คงเห็น แล้วว่าความมั่นคงและเข้าใจเรื่องของกรรมและผลของกรรมเป็นเรื่องของปัญญาจริงๆ
ขออนุโมทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
พระอริยบุคคลท่านมีความเชื่อมั่นคงในกรรมและผลของกรรม ส่วนปุถุชนนั้น มีอวิชชาเหนียวแน่นจึงทำให้ไม่รู้จักกรรมและผลของกรรมตามความเป็นจริงคือ ไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่า ขณะไหนเป็นกรรม ขณะไหนรับผลของกรรม ไม่ใช่เราประกอบกับยังมีกิเลสอื่นๆ อีกมาก จึงทำให้ยังเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความหวั่นไหวนานัปประการคือ หวั่นไหวไปด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง พระอรหันต์ท่านไม่มีความหวั่นไหวเหมือนผู้ที่ยังมีกิเลส เมื่อถึงกาลที่กรรมจะให้ผล ท่านก็ไม่เดือดร้อนใจว่าท่านจะต้องเจ็บมาก - เจ็บน้อย หรือจะได้รับความสบายกายมากไปหรือน้อยไป เพราะรู้ว่าไม่มีตัวตนที่จะหนี หรือไม่หนี ท่านรู้แต่ไม่เลี่ยงเพราะเลี่ยงไม่ได้ ต้องเป็นไปตามอำนาจของกรรมทั้งหมด แม้แต่พระผู้มีพระภาคผู้เป็นธรรมราชา ก็ยังต้องทรงประชวร และยังต้องทรงดับขันธปรินิพพาน ด้วยอำนาจแห่งกรรมเช่นกันครับ
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
บัณฑิต กล่าว สติปัฏฐานเป็นการบูชาที่ประเสริฐสุด ข้าพเจ้าขอบูชาสิ่งที่ประเสริฐสุดนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่ได้ให้ความรู้ และทำให้ผมเพิ่ม หิริโอตัปปะครับ
ขออนุโมทนาครับ
น่าสนใจนะครับ ทำไมท่านอัครสาวกพระโมคคัลลานะหลบหนีหลายครั้ง อาจจะเป็นเพราะสงสารโจรที่จะทำอนันตริยกรรม และก็น่าสนใจอีกที่อะไรกำหนดให้โจรคนนี้ต้องมาทำอนันตริยกรรม แล้วโจรจะได้รับกรรมเบาบางลงหรือเปล่าเมื่อการกระทำนี้เป็นผลของกรรมของท่านอัครสาวก
ตอบความเห็นที่ ๑๐
การหลบหลีกอันตรายเป็นธรรมดาของทุกชีวิต แม้พระอรหันต์ท่านก็หลบหลีกเช่นกันไม่มีการกำหนดว่าต้องเป็นโจรคนนี้หรือคนไหน แต่โจรต้องการเงินค่าจ้าง จึงทำสิ่งที่ไม่สมควร ผู้ที่ฆ่าพระอรหันต์เป็นกรรมหนัก (อนันตริยกรรม) เจตนาฆ่าเป็นกรรม ส่วนผู้ถูกฆ่าเป็นผลของอกุศลกรรมเก่า
จากความเห็นที่ ๕
แต่ขณะนี้กำลังมีกรรมและมีผลของกรรมทีละขณะจิต การอบรมปัญญาจึงต้องรู้ตรงลักษณะของกรรมและผลของกรรม เห็นเป็นผลของกรรม ได้ยินเป็นผลของกรรม รู้ตรงลักษณะนั้นด้วยการอบรมปัญญา (สติปัฏฐาน) ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราที่รับผลของกรรมและทำกรรมครับ
จากความเห็นที่ ๘
พระอริยบุคคลท่านมีความเชื่อมั่นคงในกรรมและผลของกรรม ส่วนปุถุชนนั้น มีอวิชชา เหนียวแน่นจึงทำให้ไม่รู้จักกรรม และผลของกรรมตามความเป็นจริงคือ ไม่รู้สภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่า ขณะไหนเป็นกรรม ขณะไหนรับผลของกรรม ไม่ใช่เรา
ประกอบกับยังมีกิเลสอื่นๆ อีกมาก จึงทำให้ยังเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความหวั่นไหวนานัปประการคือ หวั่นไหวไปด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
ขออนุโมทนาค่ะ