พระกรุณาคุณ - ทำให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้
พระกรุณาคุณ ทำให้ในที่สุด สัตว์โลกก็สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตาย เกิดได้ หลุดพ้นจากทุกข์ได้
พระกรุณาคุณ คือ ความสงสารที่พระพุทธองค์ทรงมีแก่สัตว์โลกทั้งหลายที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ธรรม และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงเก็บพระธรรมที่ทรงรู้ทรงเห็นไว้ตามลำพัง แต่ทรงอุทิศเวลาตลอด ๔๕ พรรษา คือตลอดเวลาของพระชนมายุที่เหลืออยู่ ตั้งแต่วันตรัสรู้จนกระทั่งถึงวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์ทรงใช้เวลานี้ สั่งสอนสัตว์โลกให้รู้จักเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ มรรค ผล นิพพาน เรื่องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงสั่งสอน แล้ว สัตว์โลกทั้งหลายก็ยังจะต้องจมอยู่ในกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะไม่รู้จักทางออก เป็นเหมือนคนตาบอด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่ง ความสุข อะไรคือเหตุที่จะนำมาซึ่งความทุกข์ อะไรคือผลของการกระทำดีและชั่ว ไม่มีใครรู้กัน เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมแล้ว นำเอาไปปฏิบัติ ก็สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่าย ตายเกิดได้ หลุดพ้นจากทุกข์ได้ นับเป็นเรื่องที่ดียิ่ง ผมมีข้อสงสัยเรียนถามว่า เนื่องจากจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเรื่อยๆ ถ้าเป็นเช่น นี้ ไม่ช้าก็เร็ว สัตว์โลกทั้งหมดก็สามารถหลุดพ้นจาก การเวียนว่ายตายเกิดได้ หลุดพ้น จากทุกข์ได้หมดสิ้น ไม่มีเหลือแล้วจะรีบร้อนกันไปทำไมครับ (มิได้แกล้งถามนะครับ)
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สุนัขที่เขาผูกไว้ด้วยเชือก ถูกล่ามไว้ที่หลักหรือเสาอันมั่นคง ย่อมวิ่งวนเวียนหลักหรือเสานั่นเอง แม้ฉันใดปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า
ไม่ฉลาดในอริยธรรม ไม่เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในสัปปุริสธรรม ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตน เห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน เห็นตนในรูป ก็ไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส
อุปายาสะ เรากล่าวว่า ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์
ขอถวายความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
งานที่ควรทำก่อน
ผู้ใดมุ่งจะทำงานที่ควรทำก่อน ไพล่ไปทำในภายหลัง ผู้นั้นย่อมพลาดจากฐานะ อันนำมาซึ่งความสุขและย่อมเดือดร้อนในภายหลัง.
งานใดควรทำ ก็พึงพูดถึงแต่งานนั้นเถิด งานใดไม่ควรทำ ก็ไม่ควรพูดถึงงานนั้น คนไม่ทำมีแต่พูด บัณฑิตทั้งหลายก็รู้ทัน.
[เล่มที่ 51] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา
เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้าที่ ๓๑๙ หาริตเถรคาถา
(เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่สามหัวข้อด้านล่างนี้)
ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา
การวัดเวลาเป็น อสงไขยและมหากัป
ขออนุโมทนาในความเกื้อกูล ในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ที่รีบร้อนเพราะธรรมเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องของการสะสม เป็นเรื่องของปัญญาเป็นเรื่องของกาลเวลาอันยาวนาน อสงไขย แสนๆ กัป ผู้ที่ศึกษาอยู่ เขารู้ดีว่าเวลาไม่มีแล้วและช้าไปแล้ว เกิดใหม่ไม่รู้จะพบพระธรรมหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าศึกษาปุ๊บก็จะเข้าใจหลุดพ้นปั๊บ ขณะศึกษาอยู่ก็ยังมีเวลายินดีพอใจทางโลกได้ ถ้ายังอยากจะเป็นตอในวัฏฏะคือ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็ไม่ต้องรีบร้อน ครับ
ขออนุโมทนาและขอขอบพระคุณ คุณ ajarnkruo อย่างสูงค่ะ ที่ทำลิ้งค์ให้อ่าน
อ่านแล้วยิ่งรู้ว่าสังสารวัฎฎ์นี้หาที่สิ้นสุดได้ยากจริงๆ สำหรับสัตว์โลกทั้งหลายที่มีจำนวนเป็นอนันตะ จะหลุดพ้นจากทุกข์ได้ หมดสิ้น ไม่มีเหลือ ได้อย่างไรกัน
ดูจากภัทรกัปป์นี้ มีพระสัมาสัมพุทธเจ้าถึง ๕ พระองค์ และขณะนี้เราอยู่ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ แม้จะทรงปรินิพพานนานมาแล้ว แต่ยังมีพระธรรม คำสอนให้ได้ศึกษากันอยู่ หนทางปฎิบัติที่ถูกต้องให้เข้าถึงความหลุดพ้นได้ซึ่งก็คือ
อริยมรรค์มีองค์ ๘ ยังคงมีอยู่ แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่จะเข้าถึงอรรถจริงๆ จะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจถูกในหนทางปฎิบัติ สัตว์โลกจำนวนอนันตะจึงยังคงเวียน ว่าย ตาย เกิดอยู่ในวัฎฎะสงสารหาเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่ได้
ขออนุโมทนาในกุศลจิคของทุกท่านค่ะ
โมหะ จะค่อยๆ ลดไปเรื่อยๆ เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้องกิเลสทั้งหมด จะค่อยๆ ลดลงไป เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นดีกว่า "หวัง" ว่าให้สิ่งนั้นหมด...สิ่งนี้หมดนะคะ
บรรยายโดยอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ผมมีข้อสงสัยเรียนถามว่า เนื่องจากจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเรื่อยๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่ช้าก็เร็ว สัตวโลกทั้งหมดก็สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ หลุดพ้นจากทุกข์ได้ หมดสิ้นไม่มีเหลือแล้วจะรีบร้อนกันไปทำไมครับ ต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่เป็นอนันต์ ไม่มีจำนวนจำกัดคือ สัตว์โลก
ดังนั้น พระพุทธเจ้าในอดีตที่อุบัติมาแล้วมากมายและพระพุทธเจ้าที่จะอุบัติในอนาคตมากมายเท่าไหร่ก็ตาม ก็ไม่สามารถช่วยสัตว์โลกได้หมดครับ และการที่สัตว์จะบรรลุได้ก็ต้องอบรมเหตุ คือการอบรมเจริญปัญญา อบรมอริยมรรคมีองค์ 8 แต่สัตว์โลกเหล่าใดไม่ได้สะสมความเข้าใจธรรมมา พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถที่จะช่วยได้ครับ ซึ่งในพระไตรปิฎก มีแสดงบุคคลที่เรียกว่าเป็นตอของวัฏฏะ คือไม่มีวันออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ครับ เพราะเป็นผู้มีความเห็นผิดอย่างมาก แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถโปรดเขาได้ครับ จึงไม่มีวันที่สัตว์โลกทั้งหมดจะหลุดพ้น ด้วยเหตุที่กล่าวมาคือ จำนวนสัตว์โลกและการสะสมความเห็นถูกและเห็นผิดมาครับ
แล้วจะรีบร้อนกันไปทำไมครับ ไม่ได้รีบร้อนด้วยความเป็นตัวตนที่อยากจะบรรลุ (โลภะ) แต่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ซึ่งการได้เกิดเป็นมนุษย์ยาก การได้ฟังพระธรรมก็ยาก การได้ศรัทธาในหนทางที่ถูกต้องก็ยาก การเข้าใจธรรมก็ยาก ซึ่งเมื่อได้เหตุเหล่านี้แล้วจึงสนใจที่จะฟังพระธรรม ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ เพราะชีวิตไม่แน่นอนและภพใหม่ก็ไม่แน่นอนว่าจะเกิดในภพภูมิใด ที่สำคัญสัตว์โลกก็ไม่ได้บรรลุทั้งหมด ต้องอบรมเหตุ ซึ่งขณะนี้สามารถอบรมเหตุได้แล้วเพราะถึงพร้อมด้วยขณะที่ประเสริฐ จึงไม่ประมาทในการศึกษาพระธรรมอันเกิดจากการเห็นประโยชน์ ไม่ใช่ตัวตนที่อยากจะบรรลุเพราะความอยากไม่ใช่เหตุให้บรรลุครับ
ขออนุโมทนา
ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย
ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปล่อยเวลาให้ล่วงไป พากันยัดเยียดในนรก ก็ย่อมเศร้าโศก หากเขาจะไม่สำเร็จอริยมรรค อันเป็นธรรมตรงต่อสัทธรรมในโลกนี้ได้ เขาผู้มีประโยชน์อันล่วงเสียแล้ว จักเดือดร้อนสิ้นกาลนาน
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต
เล่ม ๔ - หน้าที่ ๔๕๔
ธรรมเตือนใจวันที่ : ๒๘-๑๑-๒๕๕๐
ผมมีข้อสงสัยเรียนถามว่า เนื่องจากจะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเรื่อยๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่ช้าก็เร็ว สัตวโลกทั้งหมดก็สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ หลุดพ้นจากทุกข์ได้ หมดสิ้น ไม่มีเหลือแล้วจะรีบร้อนกันไปทำไมครับ
สมมตินะครับ สมมติว่า เราฟังพระสัทธรรมเข้าใจแจ่มแจ้ง ว่า นี้ทุกข์ (นี้ทุกข์ ท่านมีความเห็นอย่างไร) นะครับ
เราก็ต้องรีบกำจัดเหตุแห่งทุกข์สิครับ ถ้าเรายังไม่รู้สึกว่า นี้ทุกข์ เราก็ยังไม่รีบร้อนดับทุกข์เป็นธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าในขณะนี้คุณป่วย เป็นไข้หนัก คุณคงไม่สนใจว่า ในโลกนี้เคยมีหมอมาแล้วกี่ท่านหรือกำลังจะมีหมอสำเร็จการศึกษาในอนาคตอีกกี่ท่าน แม้แต่ในขณะนี้มีหมอกี่ท่าน ก็ไม่น่าสนใจเลย ที่คุณสนใจจริงๆ ในตอนนี้ก็คือ หมอที่คุณกำลังไปหา ว่างพอจะรักษาให้หรือไม่ เมื่อไหร่จะได้รับการรักษา ใช่ไหมครับ
ในทำนองเดียวกัน ถ้าคุณรู้แจ้งเห็นจริงว่า สังขารธรรม เป็นทุกข์ คุณคงไม่รีรออะไรทั้งสิ้น คงจะตั้งใจมั่น ละเหตุแห่งทุกข์ให้จงได้ ใช่ไหมครับ
ข้อแตกต่างกันระหว่าง พระศาสดากับหมอ ก็คือ หมอรักษาไปฝ่ายเดียว เราแทบไม่ต้องพยายามอะไร แต่พระศาสดาทรงบอกทางพ้นทุกข์ให้ได้เท่านั้น ที่เหลือ เราต้องขวนขวายเองครับ และในเมื่อเป็นอย่างที่คุณเผดิมกล่าวไว้ในความเห็นที่ ๘-๙ ว่า ชีวิตไม่แน่นอนและภพใหม่ก็ไม่แน่นอนว่าจะเกิดในภพภูมิใด เราเลยยิ่งต้องรีบครับ
สิ่งสำคัญในคำถามนี้ก็คือ นี้ทุกข์ หรือยังครับ (สำหรับผม ผมบอกแล้วว่า สมมติ)
เป็นมนุษย์สุดดีมีโอกาส มีปัญญาฉลาดกว่าสัตว์ทั้งผอง ขอชวนเชิญให้ท่านได้ไตร่ตรอง รับพระธรรมมาประคองกับดวงใจ เป็นอุปนิสัยปัจจัยในภพหน้า เป็นปัญญาบารมีชี้แจ่มใส เพื่อไม่หลงเพลิดเพลินเมื่อเดินไป เชิญท่านไซร้เปิดใจรับสดับธรรม.
ดัดแปลงจาก บทกลอนที่ใช้เปิดสถานีวิทยุยานเกราะทุกเช้า (ในอดีต)
ไม่รู้ว่า เจ้าของกระทู้จะมาตอบรึปล่าวนะครับ
แต่ท่านอาจจะมีคำตอบบ้าง คือผมอยากรู้ว่า ถ้ามนุษย์และสัตว์หลุดพ้นหมดแล้ว จะเป็นอย่างไรครับ จะมีผลต่อธรรมชาติ หรือไม่ ระบบเวียนว่ายตายเกิด จะเป็นอย่างไร
หรือถ้าเหลือแต่พืช พืชจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้หรือไม่ (ประเด็นคือถ้ามีการหลุดพ้นหมด จะมีผลกระทบต่ออะไรสิ่งใดครับ)
เรียนความเห็นที่ 12 ครับ
นั่นเป็นเรื่องสมมติครับ เพราะในความเป็นจริงไม่มีทางที่ใครจะหลุดพ้นได้หมด เพราะสัตว์โลกไม่ได้สะสมปัญญาและศรัทธามาทุกคน บางคนก็สนใจธรรม บางคนก็ไม่สนใจ บางคนก็เห็นผิดมากจนดิ่ง ทำให้ไม่สามารถออกจากวัฏฏะได้เลย ดังนั้นจึงเพียงบางส่วนเท่านั้นที่หลุดพ้น เพราะสัตว์โลกไม่ได้สะสมความเห็นถูกมาทุกคนครับ ณ ปัจจุบันนี้ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่เ็ห็นผู้คนต่างๆ สะสมมาต่างกันครับ