อาชีพพ่อค้าแม่ค้า

 
เกมส์
วันที่  20 พ.ย. 2551
หมายเลข  10460
อ่าน  17,328

อาชีพพ่อค้าแม่ค้า มักจะโดนรังเกียจจากคนในสังคม คำว่าพ่อค้าแม่ค้า สามารถใช้มาเป็นคำด่าได้ อย่างเช่น "อ่อ เป็นพ่อค้านี่เอง" "อย่ามาทำนิสัยพ่อค้านะ" "พ่อค้าก็งี้แหละ" "นึกว่าทำอะไร ที่แท้ก็ค้าขายไปวันๆ "

อยากทราบว่ามีพระพุทธพจน์กล่าวถึงความไม่ดีของพ่อค้าแม่ค้าอย่างไรบ้างครับ ผมจะได้พิจารณาว่า ผมสมควรจะเลิกอาชีพนี้ดีหรือเปล่า เพราะว่าอยู่ในสังคมแล้วรู้สึกว่าเป็นที่รังเกียจทั้งๆ ที่ยังไม่เคยติดต่อค้าขายกันเลยด้วยซ้ำ ก็ตัดสินกันจากอาชีพเสียแล้ว

ช่วยทีครับ กำลังเครียด

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
pornpaon
วันที่ 20 พ.ย. 2551

ความคิดเห็นส่วนตัว

ไม่ว่าใคร ทำอาชีพอะไร ล้วนมีโอกาสได้รับการยกย่องหรือถูกดูหมิ่นได้ทั้งนั้น ต่อให้เป็นครูอาจารย์ แพทย์ พยาบาล ตำรวจ ทหาร นักธุรกิจ นักวิชาการ ฯลฯ

คุณเป็นพ่อค้า หากค้าขายโดยสุจริต จะใส่ใจกับคำพูดของคนอื่นไปทำไม


ในสมัยพุทธกาล พระอริยบุคคลหลายท่านก็ดำรงเพศคฤหัสถ์ และเป็นพ่อค้า

ลองคลิกอ่านดูนะคะ

องค์คุณของพ่อค้ากับของภิกษุ [ปฐมปาปณิกสูตร]

ท่านอนาถบิณทิกเศรษฐีได้เป็นพระอริยบุคคลหมายความว่าอย่างไร

มีคำสอนเกี่ยวกับเรื่องพ่อค้าแม่ค้าอย่างไรบ้างคะ

สุข ทุกข์ อยู่ที่เราคิดเอง

อาชีพ หากทำโดยสุจริต ไม่สำคัญเลยว่าคนอื่นจะพูดจะว่าอย่างไร

สำคัญที่เราต่างหาก ว่าพูด คิดและทำ อะไร อย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 21 พ.ย. 2551

อาชีพค้าขายเป็นอาชีพสุจริตเว้นอาชีพ การค้าขายศัสตรา ๑ การค้าขายสัตว์ ๑ การค้าขายเนื้อสัตว์ ๑ การค้าขายน้ำเมา ๑ การค้าขายยาพิษ ๑

หากสังคมจะรังเกียจก็ตรงทุจริต เช่น การโกงน้ำหนัก นำสินค้าไม่ดี ไม่มีคุณภาพมาหลอกขายว่าดี มีคุณภาพ เป็นต้น นิสัยดีหรือไม่ดีที่ทำให้ถูกด่าหรือว่าเป็นพฤติกรรมส่วนตัวไม่เกี่ยวกับอาชีพคะ หากจะเลิกควรเลิกเพราะขาดทุนหรือไม่มีกำไร แต่ทุกอย่างล้วนเกิดจากเหตุและปัจจัย (ไม่ควรเครียดคะ) เช่นเรื่องของกำไรและขาดทุนตามพระสูตรที่ยกมา

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...

การถวายปัจจัยตรงตามที่ปวารณาไว้หรือไม่ [จตุกนิบาต]

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 21 พ.ย. 2551

ในครั้งพุทธกาล ผู้ชายค้าขาย ผู้หญิงก็อยู่บ้านค่ะ ท่านอนาถบิณฑิก ท่านเป็นพ่อค้าและได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าบรรลุเป็นพระโสดาบัน เพื่อนของท่านพระอานนท์เป็นพ่อค้าขายผ้าได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าได้บรรลุเป็นพระโสดาบันเช่นกันค่ะ ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ได้ ขอเพียงเป็นอาชีพสุจริต ไม่ผิดศีล 5 ไม่ต้องอายใคร ไม่ต้องสนใจว่าใครจะรังเกียจ ที่สำคัญคือ เรามีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีกุศล และปัญญาเป็นที่พึ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 22 พ.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

เมื่อเกิดมาแล้วก็ไม่พ้นไปจากโลกธรรม มีลาภก็เสื่อมลาภ มีสรรเสริญและมีนินทา แม้พระพุทธเจ้ายังถูกนินทาว่าร้าย นับประสาอะไรกับปุถุชน ในสมัยพุทธกาล ก็มีบุคคลที่ท่านมีอาชีพต่ำต้อยมาก ถูกคนติเตียน คือมีอาชีพเทดอกไม้ (รับจ้างทิ้งอุจจาระ) แต่ว่าตัวท่านก็กลับมีความประพฤติอ่อนน้อม ไหว้บุคคลอื่น เป็นต้น ต่อมาตัวท่านก็ได้พบพระพุทธเจ้าและบวชได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ชื่อ พระสุนีตเถระ จะเห็นได้ว่าไม่ว่าทำอาชีพอะไรก็เป็นธรรมดาที่มีนินทาและสรรเสริญ แต่สำคัญที่ปัญญา หากมีปัญญาแล้วก็จะไม่หวั่นไหวในนินทาและคำสรรเสริญ เพราะมีปัญญาเข้าใจความเป็นจริงของโลกว่าเป็นธรรมดาครับ ดังนั้นไม่ว่าอาชีพอะไร ชีวิตที่ประเสริฐคือชีวิตที่อยู่ด้วยปัญญาครับ

อย่าลืมฟังธรรมไปตลอดนะครับ

อนุโมทนา

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ

การนินทาสรรเสริญเป็นของเก่า [เรื่องอตุลอุบาสก]

สรรเสริญและนินทา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ajarnkruo
วันที่ 22 พ.ย. 2551

ควรสงสารผู้ที่นินทาเรานะครับ ที่เขากล่าวอย่างนั้น ก็ด้วยจิตที่เป็นอกุศล ยิ่งถ้าเขาใช้คำที่สงเคราะห์ลงในวจีทุจริต 4 ก็เท่ากับได้กระทำอกุศลกรรมบถลงไป โดยที่ไม่รู้ตัวซึ่งถ้ากรรมนี้ให้ผลเมื่อไร อย่างหนักเลยก็คือ นำเกิดในอบายภูมิ ตัวเราเอง ถ้าเรารู้ว่าเขาทำผิดไปเพราะไม่รู้และอาจจะมีที่ไปที่ไม่ดีในเบื้องหน้า ก็คงจะให้อภัยได้ง่ายและเร็วขึ้น แล้วก็หวั่นไหวน้อยลงเพราะเกิดความเมตตา กรุณา ในบุคคลผู้ล่วงเกินใช่ไหมครับ แต่ถ้าสิ่งนี้ยังเป็นไปได้ยาก เราก็ควรที่จะได้ศึกษาพระธรรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจในความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะความหวั่นไหวเป็นของจริง แต่เป็นสิ่งที่มีปัจจัย คือกิเลสของเราเองจึงเกิด ใครก็หนีการให้ผลของกรรมที่จะต้องได้ยินไม่ได้ แต่ว่าเสียงก็เป็นเพียงเสียงไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร แต่กิเลสในใจของเราต่างหาก ที่ทำให้คิดถึงเสียงที่ดับไปนั้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจบ้าง โกรธบ้าง ทั้งหมดนี้เป็นความหวั่นไหวที่ไม่น่าปรารถนาทั้งสิ้น เมื่อรู้ว่าหนีไม่ได้ ก็ควรที่จะเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งนั้น พิจารณาเหตุและผล คุณและโทษ โดยอาศัยการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องบ่อยๆ เนืองๆ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ผู้ที่ถูกสรรเสริญหรือนินทาอย่างเดียว ย่อมไม่มี แต่ผู้ที่ไม่หวั่นไหวในสิ่งนั้นๆ อีกเลย มีอยู่ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เกมส์
วันที่ 23 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาครับ นอกจากสังคมเพื่อนฝูงแล้วยังมีสังคมพ่อแม่พี่น้องอีกครับ ตอนแรกพวกเขาก็หวังกันว่าผมจะได้เป็นหมอหรือข้าราชการ แต่ผมก็ทำได้แค่นี้ครับ คือค้าขายในสิ่งที่เราถนัด แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็โชคดีมากครับที่ได้เจอกัลยาณมิตรที่มศพ.

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Nareopak
วันที่ 23 พ.ย. 2551

ขอแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยค่ะ

ความจริงตอนเด็กๆ ไม่ได้อยากเป็นพยาบาลแต่เนื่องจากในอดีต คุณยายสอบพยาบาลได้แต่ไม่ได้เรียนเพราะอายุไม่ถึงเกณฑ์จึงต้องมาเรียนเป็นครู (คุณยายเล่าให้ฟังนะคะ) คุณยายจึงอยากให้ดิฉันเป็นพยาบาล ถึงแม้ไม่ได้เป็นอาชีพที่ใฝ่ฝัน แต่เมื่อได้มาเรียนแล้วได้บอกกับตัวเองว่าต้องทำให้ดีที่สุดไม่คิดว่าทำเพื่อหน้าที่ แต่คิดอยู่เสมอว่าทำให้เขาบรรเทาเบาคลายจากความทุกข์เชื่อว่าถึงแม้คุณเกมส์จะมีอาชีพค้าขาย แต่คุณเกมส์ก็คงมีธรรมะอยู่ในใจด้วยเช่นกัน

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 25 พ.ย. 2551

ขอยกข้อความบางตอนที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กล่าวไว้.....

เกิดมาแล้วตามเหตุตามปัจจัย ยับยั้งอะไรไม่ได้ ใครจะเรียนแพทย์ ใครจะเรียนวิชาอะไร ใครจะคิดอย่างไร ใครจะพูดอย่างไร ใครจะทำอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย ได้ยิน แล้วก็คิดนึกเป็นเรื่องราวต่างๆ ชีวิตจริงๆ เต็มไปด้วยเรื่องราว จะทำอาชีพใดก็ตาม ถ้าเข้าใจพระธรรมย่อมอยู่เป็นสุขค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
saowanee.n
วันที่ 26 พ.ย. 2551

คุณเกมส์ค่ะ คนที่คิดอย่างนั้น กล่าวอย่างนั้น สภาพจิตเป็นอย่างไรค่ะ ลองพิจารณาดูดีๆ อีกที แล้วจะไม่เดือดร้อนเลยค่ะ อาชีพใดที่สุจริตและไม่ได้เบียดเบียนใคร ไม่ใช่เป็นอาชีพที่น่าอายเลยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
suwit02
วันที่ 26 พ.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 25 ส.ค. 2563

คุณเกมส์ค่ะ ดิฉันส่งลูกเรียนจนจบปริญญาโท หลังจากเรียนจบ เข้าทำงานในหน่วยงานหนึ่งที่มั่นคงพอสมควร แต่ลูกสาวอยากหาเงินได้มากขึ้นจะได้มีเงินใช้มากขึ้น เขาก็ค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ในวันหยุดที่หมู่บ้าน โดยถีบจักรยานส่งน้ำส้ม น้ำเต้าหู บางทีก็ไปขายเสิ้อผ้าที่ตลาดเช้าในหมู่บ้าน ดิฉันยังบอกเขาว่าทำไมต้องทำ เงินเดือนก็ พ่อแม่ก็มีงานที่มั่นคง รายได้พอใช้จ่าย เขาก็บอกว่าอยากหารายได้เพิ่ม ไม่ยอมหยุดทำ ต่อมายังขายน้ำส้มที่ที่ทำงานก่อนเข้าทำงานอีก ขายคนที่ทำงาน ดิฉันก็ห้ามว่าไม่ควรนะ ขายที่ทำงานเดี๋ยวหัวหน้าจะไม่ชอบ ต่อไปอาจไม่ได้พิจารณาเป็นหัวหน้าถ้าถึงโอกาส เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่อยากหยุด เพราะขายดี วันหนึ่งขายได้หลายร้อยบาท แล้วยังขายประกัน ขายแอมแวร์อีก แต่เดี๋ยวนี้ก็เป็นหัวหน้างานแล้ว ช่วงโควิดก็มีโอกาสขายสินค้าออนไลน์ถึงปัจจุบัน เขาไม่อายทำกิน บอกว่าอยู่เฉยๆ ไม่มีคุณค่า ทั้งๆ ที่งานหลักก็มาก ต้องดูแลลูกเล็กอีก ห้ามไม่ให้ค้าขายก็ไม่ยอม มีโอกาสค้าขาย ได้รายได้เพิ่มก็ทำ ที่นำมาบอกกล่าว ก็เพื่อให้เห็นว่าคนเรียนสูง ยังไม่กลัวใครดูถูกว่าค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ไม่อายทำกินเพราะเป็นอาชีพสุจริต ไม่ได้ยกย่องลูก แต่เป็นเรื่องจริงที่จะให้คุณเกมส์ได้ทราบ เสียดายที่เขาไม่สนใจฟังธรรม

ขอเป็นกำลังใจให้คุณเกมส์ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ