ศีล สมาธิ ปัญญา...?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านผู้ฟัง พระสูตรหลายสูตร ท่านเรียงลำดับของการปฏิบัติไว้ เช่น บุคคลที่มีศรัทธา ได้ฟังพระธรรมแล้วเกิดหิริ โอตตัปปะ เป็นผู้ปฏิบัติตามศีลเมื่อปฏิบัติตามศีลแล้ว ก็ไม่เกิดความร้อนใจ ไปจนถึงสมาธิ จนถึงฌานทัศนะอย่างนี้ คุณโยมมีความเห็นว่าอย่างไร
ท่านอาจารย์ เป็นชีวิตจริง ไม่มีใครกระโดดไปจากวันนี้ ซึ่งเป็นผู้ไม่มีศีล แล้วจะไปรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้.คนที่มีปัญญา จะมีศีลไหม แต่คนที่มีศีลเท่านั้น จะมีปัญญาไหม เพราะฉะนั้น ก็แสดงอยู่แล้วว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนาที่เป็นประโยชน์สูงสุดของชีวิต คือ ปัญญา
เพราะว่าแค่ศีล ศาสนาไหนก็มีได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนเพียงศีลถ้าสอนเพียงศีล...ไม่ต้องเป็นถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนเพียงสมาธิแต่ทรงสอนหนทางที่ให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตัวเอง ซึ่งเป็นจิรกาลภาวนา ความไม่รู้ ที่มีมานานแสนนาน ในแสนโกฏิกัปป์และในชาตินี้ตั้งแต่เกิด จนถึงเดี๋ยวนี้ มากมายมหาศาลสักแค่ไหน และกว่าจะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีจริง ต้องอาศัยการฟังอย่างมาก ชีวิตจริงๆ ถ้ามีปัญญาแล้ว จะพร้อมด้วยศีลถ้ามีปัญญา จะมีความเข้าใจสภาพธรรมในขณะที่วิรัติทุจริตด้วยว่า ไม่ใช่ตัวตน ที่กำลังวิรัติทุจริต
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ควรรู้ว่า พระธรรมจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า นั้นคืออะไรและหนทางที่อบรมเจริญปัญญา นั้นคืออย่างไรแต่ชีวิตจริงๆ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีกาย วาจา เป็นไปในสุจริตด้วยเพราะเหตุว่าขณะนั้น เป็นกุศลจิตไม่ส่งเสริมอกุศลประเภทไหนทั้งสิ้น เจ้าค่ะ
สนทนาธรรมที่วัดบ้านปิง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๔๔ โดย อาจารยสุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนา
การเจริญ สติปัฏฐาน : เป็นการเจริญทั้งศีล สมาธิ และปัญญา ครบถ้วนเป็น ไตรสิกขา ได้แก่ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และ อธิปัญญาสิกขา
...ขออนุโมทนาครับ...