พอจะเห็นประโยชน์หรือยังคะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ข้อความบางตอนจาก แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๕๒
บรรยายโดย ...ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน เห็นโทษเห็นภัยของความโกรธไม่ใช่เฉพาะขณะที่กำลังโกรธ แต่ยังเห็นล่วงหน้าต่อไปอีกว่า โกรธที่ดับหมดไปนี้ ก็ยังจะเกิดอีก ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ถ้าคนที่ยังมีกิเลสแล้วละ ก็ยังต้องโกรธ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะหมดโกรธได้ เป็นผู้ที่เย็นสนิทไม่มีความเดือดร้อนใจเพราะความโกรธอีกนั้น ผู้นั้นจะต้องหมดกิเลสด้วยการเจริญปัญญา รู้ชัดในลักษณะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงแค่มีสติระงับความโกรธได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว นี่คือความต่างกันของ การระงับกิเลส กับ การที่จะเจริญปัญญาเพื่อดับกิเลสเป็นสมุจเฉท
ถ้าผู้ใดยังไม่เห็นโทษของอวิชชา ที่เรายังต้องเกิดแก่ เจ็บ ตาย มีโกรธบ้าง มีโลภะบ้าง มีโทสะบ้างนี้ ก็เป็นเพราะเหตุว่า เรายังไม่ได้รู้ลักษณะของนามและรูป เรายังไม่ได้เจริญปัญญาจนกระทั่งละความไม่รู้นี้ได้ แต่ถ้าเห็นโทษ ก็เพียรที่จะละกิเลสละเอียด ด้วยการเจริญปัญญา ถ้าปัญญาไม่รู้ชัดแล้วละก็ กิเลสไม่หมดค่ะ ดับไปประเดี๋ยวก็เกิดอีก ประเดี๋ยวก็เกิดอีกเรื่อยๆ ไปในวัฏฏะ
ไม่ทราบว่า จะเห็นประโยชน์ของการเจริญปัญญาหรือยัง เพราะเหตุว่า ความไม่รู้ กับ ความรู้ อย่างไหนจะดีกว่ากันคะ? ธรรมดาทั่วๆ ไป ความไม่รู้กับความรู้อย่างไหนดีกว่ากัน ความรู้ดีกว่า พราะฉะนั้น เวลาได้ยิน แล้วก็รู้ถูกต้องตามความเป็นจริงในลักษณะของเสียง ในลักษณะของได้ยิน กับที่จะไม่รู้ อย่างไหนจะดีกว่ากัน ความรู้ดีกว่า และความรู้ชนิดนี้ จะทำให้ดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท ไม่เกิดอีก ไม่ใช่หยุดไปเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น พอจะเห็นประโยชน์หรือยังคะ
[๑๒๕] กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหลุดพ้นเพราะเบื่อหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เทวดาและมนุษย์ต่างพากันเรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา หลุดพ้นแล้วเพราะเบื่อหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะดับ เพราะไม่ถือมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเราเรียกว่า ผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา
[๑๒๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในข้อนั้นจะมีอะไรเป็นข้อแปลกกัน จะมีอะไรเป็นข้อประสงค์ที่ยิ่งกว่ากัน จะมีอะไรเป็นเหตุทำให้ต่างกัน ระหว่างพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับภิกษุผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นรากฐานเป็นแบบฉบับ เป็นที่อิงอาศัย ขอประทานพระวโรกาส ขออรรถแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเจ้าทีเดียวเถิด ภิกษุทั้งหลายได้สดับต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จักทรงจำไว้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
๐ ยังทางที่ยังไม่เกิดให้เกิด
๐ ยังประชุมชนให้รู้จักมรรคที่ใครๆ ไม่รู้จัก
๐ บอกทางที่ยังไม่มีใครบอก
๐ เป็นผู้รู้จักทาง ประกาศทางให้ปรากฏ ฉลาดในทาง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สาวกทั้งหลายในบัดนี้ เป็นผู้ที่ดำเนินไปตามทาง เป็นผู้ตามมาในภายหลัง อันนี้แลเป็นข้อแปลกกัน อันนี้เป็นข้อประสงค์ยิ่งกว่ากัน อันนี้เป็นเหตุทำให้ต่างกันระหว่างพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับภิกษุผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา
จบ พุทธสูตรที่ ๖
๖. พุทธสูตร ว่าด้วยพระพุทธเจ้าต่างกับภิกษุหลุดพ้นด้วยปัญญา
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ ๑๓๒
คลิกเพื่ออ่าน -->
ความรู้อย่างนี้...มีประโยชน์อะไร
ขออุทิศส่วนกุศลแด่สรรพสัตว์
สาธุ
ขอนอบน้อมพระสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงสละนิพพานสุข อันมีในที่ใกล้พระหัตถ์ เมื่อครั้งยังเป็นพระสุเมธโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญบารมีอันกระทำได้ยาก ทรงยอมเวียนว่ายในสังสารวัฎฎ์ ตลอดกาลนาน แสนนาน เพียงเพื่อช่วยให้สัตว์ทั้งหลายได้บรรลุธรรมพ้นจากทุกข์
สาระสำคัญและประโชน์สูงสุดของชีวิต คือ การได้เข้าใจพระธรรม คือความจริงในชีวิตประจำวันนั่นเอง
ขออนุโมทนาค่ะ
ที่สำคัญคือ ความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏ ซึ่งขณะนี้ปัญญายังไม่ถึงระดับนั้น สติก็ไม่สามารถเกิดระลึก ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ ก็ยังคงเป็นเราอยู่ ที่เห็น ได้ยิน จนกว่าจะเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงจึงจะไม่ใช่เราที่เห็น ได้ยิน เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นอนัตตา ซึ่งต้องค่อยๆ ฟังต่อไป เป็นจิรกาลภาวนา สะสมความเข้าใจทีละน้อยๆ จนกว่าจะเข้าใจถูก ว่าไม่ใช่เรา ครับ
ขออนุโมทนา