มีผู้ใดบ้างที่สามารถระลึกอดีตชาติรู้จุติและปฏิสนธิของสัตว์ได้
ผู้ที่จะรู้อดีตชาติของผู้อื่นอย่างละเอียด ต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนพระสาวกที่มีอภิญญาจิต (จุตูปปาตญาณ) ย่อมรู้การจุติและอุบัติของผู้อื่นได้ระดับหนึ่งเท่านั้น รู้ไม่ละเอียดเท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติแต่ปางก่อนได้ ว่าชาตินั้นๆ ได้เกิดเป็นอะไร มาแล้ว มีการจำแนกตามความสามารถในการระลึกชาติได้นั้น ไว้เป็น ๖ อย่างได้แก่
พวกเดียรถีย์ คือ นักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา ระลึกชาติได้ ๔๐ กัปป์ ปกติสาวก คือ พระอริยบุคคลสามัญทั่วๆ ไป ระลึกชาติได้ ๑๐๐ ถึง ๑๐๐๐ กัปป์ มหาสาวก คือ พระอรหันต์ที่มีวุฒิเป็นเลิศในทางใดทางหนึ่ง (ซึ่งมีรวมจำนวน ๘๐ องค์) ระลึกชาติได้ ๑ แสนกัปป์ อัครสาวก คือ พระโมคคัลลาน์ และพระสารีบุตร อัครสาวกซ้ายขวา ระลึกชาติได้ ๑ อสงขัยกับ ๑ แสนกัปป์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ระลึกชาติได้ ๒ อสงขัยกับ ๑ แสนกัปป์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกชาติได้ โดยไม่มีกำหนดขีดขั้น
พระพุทธเจ้า พระอริยสาวกที่ได้อภิญญาจิต ระลึกได้ ส่วนปุถุชน ที่ได้อภิญญาจิต ระลึกของบุคคลอื่นได้ไหม
ปุถุชนที่ได้อภิญญาจิต คือ จุตูปปาตญาณ ย่อมรู้การจุติและอุบัติของสัตว์อื่นได้ คือ รู้ว่าเขาตายจากบุคคลนี้แล้ว ไปเกิดที่ไหนเป็นใคร แต่จะระลึกชาติปางก่อนของคนทั่วๆ ไปไม่ได้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)