กลัวกิเลสไหม

 
สารธรรม
วันที่  7 ม.ค. 2552
หมายเลข  10861
อ่าน  1,178

(พระเจดีย์ ณ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่)

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

... ข้อความบางตอนจาก ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๘๒

... บรรยายโดย ...

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

... กลัวกิเลสไหม ...

ท่านอาจารย์ : กลัวกิเลสมากไหมคะ กลัวปริยุฏฐานกิเลส แต่ไม่ได้กลัว อนุสัยกิเลส เลย อนุสัยกิเลสนี้ ละเอียดมาก เป็นเชื้อยังมีอยู่ในจิตใจ ตราบใดแล้ว ละก็ ที่จะละโลภะ โทสะ โมหะนั้น ละไม่ได้ ที่จะละโลภะ โทสะ โมหะ หมดได้นั้น ต้องดับอนุสัยกิเลสเป็นลำดับขั้นทีเดียว

เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังเผินๆ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น เป็นอินทรีย์สังวรทางตา จักขุนทรีย์สังวร ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ก็เป็นโสตินทรีย์สังวร เป็นอินทรีย์สังวรทางหู แล้วก็ มนินทรีย์ ล่ะคะ

การสังวรมี ๖ ทาง ไม่ใช่มี ๕ ทาง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เวลาที่เห็นแล้ว เหตุปัจจัยที่จะทำให้ชอบ ... มี ใครบังคับความชอบว่าอย่าเกิดได้ มีใครบังคับได้ไหม ... ไม่ได้ ที่โลภะจะหมดได้สิ้นนั้น ตามขั้นของปัญญาของการบรรลุอริยสัจจธรรม แต่การเจริญสติปัฏฐานเป็นการระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่เกิดปรากฏ ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง ไม่ใช่ ๕ ทาง รู้จิตที่ประกอบด้วยโลภะ เกิดไปตามชายทะเล เกิดโลภะ แทนที่สติจะระลึกรู้ว่า สภาพนั้นก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ไปบังคับด้วยความเป็นตัวตน แล้วเวลาที่โลภะเกิด เมื่อไรจะรู้ว่าโลภะนั้นเป็นนามธรรม ไม่ใช่ตัวตน

ผู้ฟัง : ตามสันนิษฐานของผม คิดว่านามที่เป็นโลภะไม่ต้องรู้ เพราะหัวข้อสอนข้างต้นบอกว่า รู้เพียงกายานุปัสสนาอย่างเดียว ส่วนโลภะอาจจะเป็นธัมมานุปัสสนา ซึ่งธัมมานุปัสสนานี้พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นของละเอียด สำหรับคนที่มีปัญญาสุขุมคัมภีรภาพ จึงเอามาเจริญวิปัสสนาได้ แต่สำหรับคนสมัยนี้ควรจะเจริญกายา จึงมาสันนิษฐานว่า โลภะซึ่งเป็นนามชนิดหนึ่งของธัมมานุปัสสนา ไม่ต้องรู้ก็ได้ ถ้ารู้กายานุปัสสนา จนถึงลักษณะเกิดดับแล้ว ก็รู้หมดเอง อย่งอุปมาเหมือนรับประทานเกลือหนึ่งเม็ด ก็เค็มเหมือนกันหมดทั้งไห รู้หมดทุกๆ เม็ด

ท่านอาจารย์ : โลภะเกิดขึ้นไม่ต้องรู้ จะละการที่ยึดถือความเป็นตัวตน ที่ยึดถือโลภะว่าเป็นตัวตนในขณะนั้นได้ไหม ในขณะที่กำลังเห็น หมดความสงสัยในลักษณะของนามและรูปหรือยัง ในขณะที่กำลังได้ยิน หมดความสงสัยในลักษณะของนามและรูปหรือยัง เพราะเหตุว่า ผู้เจริญสติปัฏฐานนั้น เป็นผู้ที่ละความไม่รู้ ละความสงสัย ละการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน

(พระพุทธรูป ณ วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่)

๓. ชฏาสูตร

ว่าด้วยการถางชัฏคือกิเลส

[เล่มที่ 24] สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๒๘

(ข้อความบางตอนจาก)

[๖๐] เทวดาทูลถามว่า ... หมู่สัตว์รกทั้งภายใน รกทั้งภายนอก ถูกรกชัฏหุ้มห่อแล้ว ข้าแต่พระโคดม เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์ขอถาม พระองค์ว่า ใครพึงถางรกชัฏนี้ได้.

[๖๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นรชนผู้มีปัญญา ตั้งมั่นแล้วในศีล อบรมจิตและปัญญาให้เจริญอยู่ เป็นผู้มี ความเพียร มีปัญญารักษาตนรอด ภิกษุ นั้นพึงถางรกชัฏนี้ได้ ราคะก็ดี โทสะก็ดี อวิชชาก็ดี บุคคลเหล่าใด กำจัดเสียแล้ว บุคคลเหล่านั้น เป็นผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตัณหาเป็นเครื่องยุ่ง อันบุคคลเหล่านั้นสางเสียแล้ว นามก็ดี รูปก็ดี และรูปสัญญาก็ดี ย่อมดับหมดใน ที่ใด ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งนั้น ย่อมขาด ไปในที่นั้น.

คลิกเพื่ออ่าน -->

ไม่ใช่ให้ละโลภะก่อน

ขออุทิศส่วนกุศลแด่สรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
opanayigo
วันที่ 7 ม.ค. 2552
อนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 7 ม.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 7 ม.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 8 ม.ค. 2552

อนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 8 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
choonj
วันที่ 9 ม.ค. 2552

กิเลสไม่กลัวครับ กลัวอยู่แต่ว่าทีจะไม่รู้เวลาเกิด กิเลสเมื่อเกิดก็เป็นธรรมเกิดแล้วก็ดับ ถ้ารู้ว่าเกิดเมื่อไรแล้วเข็ดที่มันพาไปหาทุกข์เสมอสามารถหยุดหรือปหานมันได้จะไปกลัวมันทำไม ครับ นามก็ดี รูปก็ดี และรูปสัญญาก็ดี ย่อมดับหมดในที่ใด ตันหาเป็นเครื่องยุ่งนั้น ย่อมขาดหมดในที่นั้น

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 9 ม.ค. 2552

กิจอันใด อันพระอริยะบรรลุบทอันสงบ ทำแล้ว กิจนั้นอันกุลบุตรผู้ฉลาดพึงทำค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
paderm
วันที่ 10 ม.ค. 2552

กลัวไม่กลัวก็เต็มไปด้วยกิเลสครับ หนทางเดียวคืออบรมปัญญา ฟังธรรมต่อไปเพื่อดับกิเลสในอนาคต

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pornpaon
วันที่ 11 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 6 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ