ทำไมการบรรยายธรรมของมูลนิธิฯ เน้นแต่การเจริญสติปัฏฐาน

 
ศุจิกา
วันที่  19 ม.ค. 2552
หมายเลข  10938
อ่าน  1,289

เท่าที่ฟังการบรรยายธรรมของมูลนิธิฯ จะเน้นเรื่องสภาพธรรมเพื่อเจริญสติปัฏฐาน ทั้งๆ ที่พระไตรปิฎกประกอบด้วย พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 19 ม.ค. 2552

ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา มีหัวข้อการสนทนาธรรมทั้ง พระวินัย พระสูตรและ พระอภิธรรม แต่การศึกษาการสนทนาธรรมทั้งหมดเพื่อการเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ มิฉะนั้นแล้วการศึกษาจะเพียงการรู้เรื่องราว รู้เพียงตัวเลขเท่านั้น ดังนั้นท่านอาจารย์จึงเน้นให้เข้าใจตัวสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ ถ้าศึกษาแล้วไม่เข้าใจตัวธรรมะ ก็จะเป็นเหมือนกับการศึกษาวิชาการทางโลก เช่น ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นต้น อีกอย่างหนึ่งการศึกษา การสอนเรื่องทาน เรื่องศีล ก็มีการสอนกันทั่วๆ ไปแล้ว แต่การแนะนำให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ หาฟังได้ยากอย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 19 ม.ค. 2552

ไม่ว่าจะเป็นพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ทั้ง 3 ปิฏก ก็ไม่พ้นไปจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง 3 ปิฏก ต้องศึกษาให้เข้าใจถูกเพื่อจุดประสงค์เดียวคือ การเข้าถึงสภาพ ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และที่สำคัญการอบรมเจริญสติปัฏฐานเท่านั้นที่เป็นหนทางดับกิเลสค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 19 ม.ค. 2552

สาธุ

ขอเชิญอ่านกระทู้

สติปัฏฐาน คืออะไร

พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อก้าวล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pornpaon
วันที่ 19 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ศิณอนงค์
วันที่ 20 ม.ค. 2552

อธิศีลสิกขา - พระิวินัย อธิจิตตสิกขา - พระสูตร อธิปัญญาสิกขา - พระอภิธรรม ทั้ง 3 นี้ เกื้อกูลต่อกันโดยพระอภิธรรมเป็นส่วนขยาย จำแนกโดยละเอียด เพื่อเกื้อกูลต่อความ เข้าใจในพระวินัยและพระสูตร สติปัฏฐาน ก็เกิดจากความเข้าใจและปฏิบัติธรรมสมควร แก่ธรรม ตามปิฎกทั้ง 3 ดิฉันได้ศึกษากับมูลนิธิฯ ท่านทั้งหลายแนะนำให้เจริญกุศลทุก ประการ แต่ต้องเป็นกุศลจริงๆ นะ ไม่ใช่เข้าใจผิดว่าอกุศลเป็นกุศล จะเข้าใจถูก ก็จะ ต้องมีการศึกษาตามลำดับขั้น ที่มูลนิธิฯ ที่นี่เป็นสถานที่แห่งเดียว ที่ให้เข้าใจว่า เป็นสภาพธรรมไม่ใช่เราที่จะปฏิบัติธรรม ซึ่งถ้าศึกษาโดยทั่วจริงๆ จะพบว่าที่มูลนิธิ พร้อม ไปด้วยคำสอน ที่ให้เจริญกุศลทุกประการ ด้วยปัญญา มีบารมี ๑๐ ซึ่งท่านจะหาอ่านได้ จากหนังสือ บารมีในชีวิตประจำวัน มีบุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ ซึ่งไม่ใช่้การทำบุญเพื่อให้ได้ อะไร แต่เป็นไปละคลายจริงๆ ปัญญา ก็ไม่ใช่ปัญญาทางโลก เพราะเป็นปัญญาที่จะ ออกจากวัฏฏะ แต่ถ้าไม่มีปัญญา ก็จะเห็นผิด เข้าใจผิด อย่างเช่น เข้่าใจว่าโลภะเป็น เมตตา เข้าใจว่าราคะคือศรัทธา เข้าใจว่าศีลคือคำสัญญา เข้าใจว่าปฏิบัติธรรม คือ หลับตา หรือ มีท่าทางพิเศษ ฯลฯ ต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจก่อน เป็นสุตะมยปัญญา และจินตามยปัญญา โดยเจริญกุศลทุกประการตามสมควร

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 20 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
พุทธรักษา
วันที่ 20 ม.ค. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 10938 โดย ศุจิกา

เท่าที่ฟังการบรรยายธรรมของมูลนิธิฯ จะเน้นเรื่องสภาพธรรมเพื่อเจริญสติปัฏฐาน ทั้งๆ ที่พระไตรปิฎกประกอบด้วย พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม (เท่าที่ศึกษามา...ข้าพเจ้ามีความเห็น ว่า)

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ อริยสัจจ์ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

มรรค (๘) คือ หนทางที่ดับทุกข์ หนทางเพื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์หมายถึง การอบรมเจริญสติปัฏฐาน ๔

พระอภิธรรม คือ สัจจธรรม (สภาพธรรมตามความเป็นจริง) ที่พระพุทธองค์ทรง ตรัสรู้

พระสูตร คือ การแสดงธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ แก่เวไนยสัตว์ตามอัธยาศัยของแต่ละคนเพื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์ เพื่อประโยชน์สูงสุด คือ การตรัสรู้

พระวินัย คือ ข้อประพฤติปฏิบัติที่ทรงบัญญัติแก่พระภิกษุสงฆ์ ผู้ละเพศฆราวาสออกบวช เพื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์ เพื่อประโยชน์สูงสุด คือ การตรัสรู้

การเจริญสติปัฏฐาน เพื่อ ประโยชน์สูงสุด คือ การตรัสรู้ ซึ่งพวกเราจะศึกษาเพื่อความรู้ในระดับต่างๆ ตามอัธยาศัย จากทั้ง ๓ ปิฎกด้วยความเห็นถูก ว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงในการศึกษาพระพุทธศาสนา คือ การตรัสรู้

ดังพระปัจฉิมโอวาท ว่า

[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 322

พระปัจฉิมวาจา

[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อม ไปเป็นธรรมดา พวกเธอ จงยังความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อมเถิด นี้เป็นพระปัจฉิมวาจา ของพระตถาคต

ข้อความจากอรรถกถา

บทว่า อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ความว่า จงยังกิจทั้งปวงให้สำเร็จด้วยความไม่ไปปราศจากสติ

ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบรรทมที่เตียงปรินิพพาน ประทานพระโอวาท ที่ประทานมา ๔๕ พรรษา รวมลงในบท คือความไม่ประมาท อย่างเดียวเท่านั้น.

ตลอด ๔๕
พรรษา ที่ทรงแสดงธรรม รวมลงในบทเดียว คือ ความไม่ประมาทและ จงยังกิจทั้งปวง ให้สำเร็จ ด้วยความไม่ไป ปราศจากสติ กิจทั้งปวง คือ การเจริญกุศลทุกประการ และการเจริญสติปัฏฐาน เพื่อการตรัสรู้ นั่นเอง

เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่า การศึกษาพระพุทธศาสนา การศึกษา เรื่องสภาพธรรมเพื่อเจริญสติปัฏฐาน จึงควรเน้นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ศิณอนงค์
วันที่ 21 ม.ค. 2552

สติปัฏฐาน จะเกิดได้ ก็เริ่มจากการเข้าใจพระธรรม ซึ่งก็มาจากพระไตรปิฎก และสติปัฏฐาน เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะออกจากวัฏฏะ โดยมีบารมี ๑๐ เป็นกำลัง สิ่งสำคัญปัจจุบันนี้คือ การศึกษาพระธรรมเพื่อความเข้าใจ ตามลำดับขั้น เจริญกุศลที่เป็นบารมี ทุกประการ โดยอาศัยการศึกษาพระธรรม ช่วยให้ทราบว่า อะไรคือกุศล อะไรคืออกุศล นี่คือ สาระของชีวิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wirat.k
วันที่ 22 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
khampan.a
วันที่ 22 ม.ค. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา มีวัตถุประสงค์โดยย่อคือ "ศึกษาและปฏิบัติธรรม เผยแพร่พระธรรมตามแนวพระไตรปิฎก จัดพิมพ์เอกสารประกอบการศึกษาพระไตรปิฎก เผยแพร่เป็นสาธารณกุศล" พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสัจจธรรม สามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะ เพราะทุกขณะเป็นธรรม เป็นความเป็นไปของจิต เจตสิก และ รูป กล่าวคือ ไม่พ้นไปจากนามธรรมและรูปธรรม สภาพธรรมที่มีจริงเป็นที่ตั้งให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้ได้ แต่ต้องเริ่มด้วยการฟัง การศึกษาเรื่องของสภาพธรรมเป็นปกติบ่อยๆ เนืองๆ สำหรับการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษา ก็ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงได้ และที่สำคัญไม่ว่าจะศึกษาโดยนัยของพระวินัย พระสูตร หรือ พระอภิธรรม ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรม ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริง เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริง จึงควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะหาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล หาความเป็นเราในสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ไม่ได้เลย เมื่อเริ่มต้นด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ และเป็นไปเพื่อการละคลายการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นตัวตนได้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 22 ม.ค. 2552

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 7 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ