สุพรหมสูตร - สุพรหมเทวบุตร - ๒๔ ม.ค. ๒๕๕๒

 
บ้านธัมมะ
วันที่  20 ม.ค. 2552
หมายเลข  10947
อ่าน  1,893

สนทนาธรรมที่ ...

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ ๒๔ ม.ค. ๒๕๕๒ เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐ น.

๗. สุพรหมสูตร

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๕๕

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๕๕

๗. สุพรหมสูตร

[๒๖๙] สุพรหมเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ ใจนี้หวาด เสียวอยู่เป็นนิตย์ ทั้งเมื่อกิจไม่เกิดขึ้น ทั้ง เกิดขึ้นแล้วก็ตาม ถ้าความไม่สะดุ้งกลัวมีอยู่ ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว โปรดตรัสบอกความไม่สะดุ้งนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด.

[๒๖๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เรายังมองไม่เห็นความสวัสดีแห่ง สัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญาและความเพียร นอกจากความสำรวมอินทรีย์ นอก จากความสละวางทุกสิ่งทุกอย่าง สุพรหมเทวบุตรได้กล่าวดังนี้แล้ว ฯลฯ ก็อันตรธานไปในที่นั้นเอง

อรรถกถาสุพรหมสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในสุพรหมสูตรที่ ๗ ต่อไป :-

บทว่า สุพฺรหฺมา ความว่า ได้ยินว่า เทพบุตรนั้น อันเหล่าเทพอัปสรห้อมล้อมแล้ว ไปยังสนามกีฬานันทวัน นั่ง ณ อาสนะที่จัดไว้ ใต้โคนต้นปาริฉัตร เหล่าเทพธิดา ๕๐๐ ก็นั่งล้อมเทพบุตรนั้น.เหล่าเทพธิดา ๕๐๐ ก็ปีนขึ้นต้นไม้.

ถามว่า ก็ต้นไม้แม้สูง ๑๐๐ โยชน์ ก็น้อมลงมาถึงมือด้วยอำนาจจิตของเหล่าเทวดามิใช่หรือ เหตุไร เทพธิดาเหล่านั้น จึงต้องปีนขึ้นเล่า.

ตอบว่า เพราะเทพธิดาเหล่านั้นสนใจแต่จะเล่น แต่ครั้นปีนขึ้นไปแล้ว ก็ขับเพลงด้วยเสียงอันไพเราะ ทำดอกไม้ทั้งหลายให้หล่นลง เหล่าเทพธิดานอกนี้ (ที่ไม่ได้ปีนขึ้น) เก็บดอกไม้เหล่านั้น เอามาร้อยทำเป็นพวงมาลัยขั้วเดียวกันเป็นต้น. ครั้งนั้น เหล่าเทพธิดา ที่ปีนขึ้นต้นไม้ ก็ทำกาละ (จุติ) ด้วยอำนาจอุปัจเฉทกกรรม ประหารครั้งเดียวเท่านั้น ไปบังเกิดในอเวจีนรก เสวยทุกข์ใหญ่

เมื่อเวลาล่วงไป เทพบุตรก็นึกรำพึงว่า ไม่ได้ยินเสียงเทพธิดาเหล่านั้น ดอกไม้ก็ไม่หล่น เขาไปไหนกันหนอ. ก็เห็นไปบังเกิดในนรกเกิดรันทดใจ เพราะความโศกในของรัก จึงดำริว่า ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เหล่าเทพธิดาก็ไปตามกรรม ตัวเราจะมีอายุสังขารเท่าไรกันเล่าเทพบุตรนั้น ดำริว่า ในวันที่ ๗ เราก็จะพึงทำกาละ พร้อมกับเหล่าเทพธิดา ๕๐๐ ส่วนที่เหลือ พากันไปบังเกิดในนรกนั้นเหมือนกัน รันทดระทมเพราะความโศกที่รุนแรง.

เทพบุตรนั้น ก็ดำริว่า ในมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลก นอกจากพระตถาคตแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถดับความโศกของเรานี้ได้ จึงไปเฝ้ากล่าวคาถาว่า นิจฺจมุตฺรสุตํ ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า อิทํ เทพบุตรนั้น แสดงจิตของตน บทที่ ๒ เป็นไวพจน์ของบทต้นนั่นแหละ. ก็บทว่า นิจฺจํ ไม่พึงถือเอา ความว่า จำเดิมแต่กาลที่บังเกิดในเทวโลก. พึงทราบความนั้นว่าเป็นนิตย์ จำเดิมแต่เวลาที่สะเทือนใจ.

บทว่า อนุปฺปนฺเนสุ กิจฺเจสุ ได้แก่ ในทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น โดยล่วงไป ๗ วัน แต่วันนี้. ด้วยบทว่า อโถ อุปฺปตฺติเตสุ จ เทพบุตรนั้นแสดงว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่เกิดขึ้นเหล่านี้ อย่างนี้ คือ ในทุกข์ที่ข้าพระองค์ เห็นนางอัปสร ๕๐๐ บังเกิดในนรก จิตของข้าพระองค์ก็หวาดสะดุ้งเป็นนิตย์ ข้าพระองค์เป็นประหนึ่งถูกไฟเผาอยู่ในอก

บทว่า นาญฺญตฺร โพชฺฌงฺคตปสา ความว่า นอกจากการเจริญโพชฌงค์ และ คุณคือตปะ เรามองไม่เห็นความสวัสดีในที่อื่น

บทว่า สพฺพนิสฺสคฺคา ได้แก่ พระนิพพาน. ก็ในบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาการเจริญโพชฌงค์ก่อน ภายหลังก็ทรงถือเอาอินทรียสังวรก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น โดยใจความอินทรียสังวร ก็พึงทราบว่า ทรงถือเอาก่อน ด้วยว่า เมื่อภิกษุถือเอาอินทรียสังวรแล้วก็เป็นอันถือเอาจตุปาริสุทธิศีลด้วย ภิกษุตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีลนั้นเป็นนิสสัยมุตตกะ (พ้นจากการถือนิสสัยกับอุปัชฌาย์หรืออาจารย์) สมาทานตปคุณ กล่าวคือธุดงค์เข้าป่าเจริญกัมมัฏฐาน ย่อมทำโพชฌงค์ให้เกิดมีพร้อมกับวิปัสสนา อริยมรรคของภิกษุนั้น ทำนิพพานธรรมอันใดเป็นอารมณ์แล้วเกิดขึ้น นิพพานธรรมอันนั้น ชื่อว่า สัพพนิสสัคคะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปลี่ยนเทศนาเป็นสัจจะ ๔. เมื่อจบเทศนา เทพบุตรก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล

จบอรรถกถาสุพรหมสูตรที่ ๗


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
opanayigo
วันที่ 20 ม.ค. 2552
อนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 20 ม.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
คุณ
วันที่ 21 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Unclemax
วันที่ 22 ม.ค. 2552

อนุโมทนาด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
swanjariya
วันที่ 30 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 4 ต.ค. 2563
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ