มโนกรรมมีโทษมากที่สุด
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 13
อรรถกถาอุปาลิวาทสูตร
ก็ในอกุศลและกุศลทั้งสองนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสกายกรรม วจีกรรมที่ถึงอกุศลว่าเป็นใหญ่ ดังนี้ย่อมไม่ลำบากตรัสมโนกรรมฝ่ายกุศลว่าเป็นใหญ่ ดังนี้ก็ไม่ลำบาก จริงอย่างนั้น บุคคลพยายามด้วยกายอย่างเดียวกระทำกรรม ๔ (อนันตริยกรรม) มีมาตุฆาต เป็นต้น ก็ด้วยกายเท่านั้น บุคคลกระทำกรรมคือ สังฆเภท (ทำลายให้แตกกัน) อันจะยังผลให้บุคคลตั้งอยู่ในนรกถึงกัปหนึ่งก็ด้วยวจีทวาร ดังนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกายกรรม วจีกรรม ฝ่ายอกุศลว่าเป็นใหญ่ จึงชื่อว่า ไม่ลำบาก. ส่วนเจตนาในฌานอย่างเดียวย่อมนำสวรรค์สมบัติมาให้ถึง ๘๔,๐๐๐ กัป เจตนาในมรรคอย่างเดียวย่อมเพิกถอนอกุศลทุกอย่าง ย่อมถือเอาพระอรหัตได้ ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสมโนกรรมฝ่ายกุศลว่าใหญ่ จึงชื่อว่าไม่ลำบาก. แต่ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อตรัสมโนกรรมฝ่ายอกุศลว่า มีโทษมาก จึงตรัสหมายถึงนิยตมิจฉาทิฏฐิ. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรามองไม่เห็นธรรมอย่างหนึ่ง อันอื่นที่มีโทษมาก เหมือนอย่างมิจฉาทิฏฐิเลย กระบวนโทษทั้งหลาย มิจฉาทิฏฐิมีโทษอย่างยิ่ง.
ในบรรดาโทษทั้งหลาย มิจฉาทิฏฐิมีโทษอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาด้วยครับ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรามองไม่เห็นธรรมอย่างหนึ่ง อันอื่นที่มีโทษมาก เหมือนอย่างมิจฉาทิฏฐิเลย กระบวนโทษทั้งหลาย มิจฉาทิฏฐิมีโทษอย่างยิ่ง.
ขออนุโมทนาค่ะ