...ถ้านึกคิดไม่ใช่สติปัฎฐาน ๔ ใช่หรือไม่ ?

 
opanayigo
วันที่  13 ก.พ. 2552
หมายเลข  11246
อ่าน  966

เท่าที่ได้ฟังอาจารย์อธิบาย สติปัฎฐาน ๔ คือเห็นในสิ่งที่ปรากฎ รู้ในสิ่งที่ปราฎเมื่อนั้นคือสติปัฎฐาน ๔ ถ้านึกคิดไม่ใช่สติปัฎฐาน ๔ ใช่หรือไม่?

คำถามนี้เป็นหัวใจของสติปัฎฐาน คือ ถ้าสภาพธรรมใดที่ปรากฎจึงเป็นสติปัฎฐานสภาพธรรมใดแม้มีแต่ไม่ปรากฎ ก็ไม่ใช่สติปัฎฐาน

จิตนี้เกิดดับเร็วมาก ใครจะประจักษ์หรือไม่ประจักษ์ พระผู้มีพระภาค พระสาวกที่ประจักษ์ก็ประจักษ์เช่นเดียวกันว่า จิตเป็นสภาพที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว รูปก็เป็นสภาพที่

เกิดดับอย่างรวดเร็วมากพิจารณาตามความเป็นจริง ทุกคนที่กำลังนั่งในขณะนี้ให้คิด-ถึงรูป ว่าสามารถจะแตกย่อยรูปซึ่งกำลังประชุมรวมกันออกเป็นส่วนย่อยที่เล็กที่สุดได้

ไหม? ได้ค่ะ เพราะความจริงแล้วมีอากาศธาตุ (ช่องว่าง) คั่นอยู่ทุกกลุ่มที่เล็กที่สุด ที่

เราคิดว่าเป็นรูปแท่งทึบของเรานี่ แท้ที่จริงแล้วก็เป็นกลุ่มของรูปที่เล็กมากแต่ละกลุ่ม

ที่ซึ่งมีอากาศธาตุคั่นอยู่ พร้อมที่จะแตกย่อยทำลายได้จนละเอียดที่สุด เพราะว่า

อากาศธาตุนั่นเองคั่นอยู่ แล้วแต่ละกลุ่มนี่ก็เกิดดับทยอยกัน ไม่ใช่ว่าดับพร้อมกันไป

หมดทีเดียว แต่ถึงแม้ว่าจะดับทยอยกันเพียงไรก็ตาม การเกิดดับใน ๑๗ ขณะเป็นไป

อย่างรวดเร็วมาก เพราะฉะนั้น แม้ว่าเราเคยจำได้ว่าเรามีตา มีหู มีจมูก มีปาก มีศรีษะ

มีแขน มีเท้า มีมือ แต่ความเป็นจริง รูปเหล่านั้นทั้งหมดเกิดดับอย่างรวดเร็ว ขณะใดที่

ไม่ปรากฎขณะนั้นรูปนั้นเกิดแล้ว ดับแล้ว เพราะใน ๑๗ ขณะนี่เกิดดับเร็วมาก ด้วยเหตุ

นี้ แต่ละท่านน้ำหนักคนละหลายกิโล เมื่อแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ศรีษะหนักกี่กิโล ขา

หนักกี่กิโล ทำไมไม่รู้สึกหนัก ทั้งๆ ที่แต่ละส่วนมีน้ำหนักหลายกิโล? ที่ไม่รู้สึกหนัก

เพราะเหตุว่า รูปประกอบด้วยกลุ่มของรูปที่ละเอียดที่มีอากาศธาตุคั่น และเกิดดับเร็ว

มาก

เพราะฉะนั้นขณะใดที่ไม่ถูกต้องศรีษะ รูปส่วนอื่นที่ไม่ปรากฎเกิดแล้ว ดับแล้ว แม้แต่รูปที่กำลังปรากฎเป็นอารมณ์ที่กระทบขณะนั้น ก็กำลังเกิดดับ แต่เพราะเหตุว่าเมื่อ

เกิด แล้วก็ดับ แล้วเกิดอีก ดับอีกอย่างรวดเร็ว ทำให้ดูเหมือนกับว่า ส่วนที่ปรากฎนั้น

ไม่ได้ดับ แต่ถ้าปัญญาเจริญขึ้น สามารถจะประจักษแจ้งการเกิดดับที่รูปที่กำลังเกิดดับ

ในขณะนั้นได้จึงประจักษ์ความจริงว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง แต่ไม่ได้หมายความ

ว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่าไม่เที่ยงก็ไม่เที่ยง หรือไม่เที่ยงเพระว่าเกิดมาแล้วต้องแก่

เพราะฉะนั้นรูปเด็กหายไปก็ไม่เที่ยง แต่ก็ไม่เที่ยงที่เป็นการประจักษ์แจ้งรูปที่กำลัง

ปรากฎเป็นอารมณ์นั่นเองดับ แล้วก็เกิด แล้วก็ดับ แล้วก็เกิด แล้วก็ดับ จึงประจักษ์

แจ้งในความไม่เที่ยงจึงจะรู้ว่าเป็นอนัตตา และไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้นที่คิดว่าเป็น

เราที่กำลังนั่งอยู่ กำลังเกิดดับทั้งหมด ส่วนใดที่ปรากฎ เฉพาะส่วนนั้นเท่านั้นที่ยังไม่

ดับจึงปรากฎ แต่ก็ดับทันทีที่ปรากฎแล้ว แล้วเกิดต่อย่างรวดเร็ว

รูปแต่ละรูปที่ปรากฎก็ปรากฎตามความเป็นจริง แต่ขาดตอนจากกันเพราะมโนทวารปรากฎ ขณะนี้มโนทวารไม่ได้ปรากฎ ก็ไม่ขาดตอน ทางตาก็ต่อจากทางหู เพราะ

มโนทวารไม่ได้ปรากฎ ต่อเมื่อใดมโนทวารปรากฎ ความขาดตอนของแต่ละทวารจึง

ปรากฎ

การจะประจักษ์การเกิดดับของรูปธรรม และนามธรรมต้องอาศัยวิชาหรือปัญญา ซึ่งเป็นสภาพที่สามารถรู้ของจริงหรือสัจจธรรมได้ ต้องเป็นผู้ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาจน

ถึงขั้นที่สามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับได้ จึงจะเป็นพระอริยบุคคลได้

จาก...๘๐ ประเด็นธรรมจาการบรรยายและสนทนาธรรม ของ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ / "ธรรมาภิสมัย"หน้า ๔๕-๔๖

คัดสรร เรียงร้อย โดย อัญญมณี มัลลิกะมาส


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
สุภาพร
วันที่ 13 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
choonj
วันที่ 13 ก.พ. 2552

งงกับกระทู้ครับ คิดนึกเป็นสภาพธรรมเป็นธรรม ส่วนสติปัฎฐานคือ การระลึกสภาพธรรมตามความเป็นจริง เช่นการระลึกว่าขณะนี้กำลังคิดนึก ครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 13 ก.พ. 2552

คุณ opanayigo เข้าใจถูกต้องแล้วค่ะที่กล่าวถามว่า....

เท่าที่ได้ฟังอาจารย์อธิบาย สติปัฎฐาน ๔ คือเห็นในสิ่งที่ปรากฎ รู้ในสิ่งที่ปราฎเมื่อนั้นคือสติปัฎฐาน ๔ ถ้านึกคิดไม่ใช่สติปัฎฐาน ๔ ใช่หรือไม่?

เพราะท่านอาจารย์อธิบายว่า คำถามนี้เป็นหัวใจของสติปัฎฐาน คือ ถ้าสภาพธรรมใดที่ปรากฎจึงเป็นสติปัฎฐาน สภาพธรรมใดแม้มีแต่ไม่ปรากฎ ก็ไม่ใช่สติ-ปัฎฐาน......

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ศิณอนงค์
วันที่ 13 ก.พ. 2552
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 14 ก.พ. 2552

สิ่งที่เกิดดับเร็วมาก ไม่พึงยึดถือว่า เป็นตัวตนของเรา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ