มีอาชีพขายยาฆ่าแมลง
ขอเรียนถามท่านผู้เจริญ
ดิฉันประกอบอาชีพค้าขายโดยหลักๆ แล้วจะเป็นยาฆ่าแมลง โดยตรง ซึ่งมีลูกค้ามารับคำปรึกษาและให้ดิฉันช่วยจัดยาเพื่อฉีดพ่นแมลง เช่น เพลี้ย หนอน และแมลงอื่นๆ ที่ทำให้พืชผักและผลผลิตของเกษตรกรเสียหาย จึงมีความสงสัย ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้ผู้อื่นทำบาปหรือไม่คะ และตัวดิฉันเองในฐานะที่เป็นผู้ชี้แนะ และจัดยากำจัดแมลงจะได้รับผลกรรมหรือไม่ อย่างไร ส่วนตัวแล้วแม้แต่มดหรือยุงดิฉัน ก็ไม่เคยตบตี และกรณีที่มีลูกค้ามาขอซื้อยาเพื่อนำไปฆ่าสุนัขดิฉันจะไม่ขายให้ และ บอกกับลูกค้าว่ายาฆ่าสุนัขไม่มี ถึงมีก็ไม่ขายให้เพราะไม่สนับสนุนให้ใครทำบาป ดิฉัน ศึกษามาทางด้านเกษตร จึงชำนาญเฉพาะทางเรื่องยากำจัดศัตรูพืชเพียงเท่านี้ จะหัน ไปทำอาชีพอื่นก็ไม่ได้แล้ว
จึงขอเรียนถามท่านผู้เจริญเพียงเท่านี้ ขอกราบขอบพระคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สภาพธรรมทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครเลือก หรือไม่เลือก ก็ตามแต่ว่า จะเป็นอย่างไรแม้การประกอบอาชีพ ธรรมพระพุทธเจ้าทรงแสดงตามความเป้นจริง แม้ ในเรื่องการประกอบอาชีพ ว่าอาชีพใดอุบาสก อุบาสิกา ไม่ควรกระทำ พระพุทธเจ้าทรง แสดงอาชีพที่ไม่ควรกระทำคือ การค้าขายศัสตรา การค้าขายสัตว์ การค้าขายเนื้อสัตว์ การค้าขายน้ำเมา การค้าขายยาพิษ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 377
อรรถกถาวณิชชสูตร บทว่า วิสวณิชฺชา ได้แก่ให้เขาทำพิษแล้วก็ขายยาพิษนั้น. การทำด้วยตนเอง การชักชวนคนอื่นให้ทำการค้านี้ทั้งหมด ก็ไม่ควรด้วยประการฉะนี้. จะเห็นได้ว่าธรรมเป็นเรื่องตรง เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น สิ่งใดควรก็คือควร สิ่งใดไม่ควรก็คือไม่ควรครับ สิ่งแรกที่อยากแนะนำคือไม่ต้องแนะนำการฆ่าให้บุคคลผู้ใช้ ให้ ไปอ่านวิธีเอง เป็นต้น แต่ที่สำคัญทุกอย่างมีทางออกและหลีกเลี่ยงได้เสมอ แม้การ ประกอบอาชีพ การดับกิเลสยังดับได้ แม้ว่าเป็นสิ่งที่ยาก จะกล่าวไปใยถึงการเลือก ประกอบอาชีพในทางที่ถูกต้องครับ หากเห็นประโยชน์และเห็นโทษจริงๆ ครับ
ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอกราบขอบพระคุณ ท่านผู้มีกรุณาจิต ท่าน Paderm ที่แนะนำให้พบทางที่ถูก
ซึ่งคำแนะนำสิ่งนี้ก็ตรงไปตรงมาในความเป็นจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ดิฉันซาบซึ้งในพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดิฉันมีความศรัทธาเลื่อมใส มีความเคารพนบนอบ ในพระมหากรุณาคุณ และนอบน้อมผู้ที่มีจิตเมตตา ผู้ที่มีจิตเป็นกุศลทุกท่าน นั่นคือ...ขอนอบน้อมในคุณลักษณะ ในความที่มีจิตเป็นกุศลของท่าน......แต่...ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว...ต้องประกอบอาชีพ (ในฐานะเป็นปุถุชน) ดิฉันมีได้เพียงศรัทธา...ไม่สามารถปฎิบัติได้ตามคำสอน.......เพราะถ้าจะปฎิบัติตามพระศาสดาแล้วนั้น.........ก็หมายความถึง.....ความเป็นอยู่ในปัจจุบัญของสามี บุตร ธิดา.....ดิฉัน
จึงขอรบกวนเรียนถามท่านผู้รู้ว่า......ถ้า........ดิฉันจำต้อง ละ ครอบครัวเพื่อแสวงหาธรรม.........โดย....ปล่อยวางภาระ (ที่ควรจะดูแลในทางโลก) ...เพื่อแสวงหาทางธรรม..................ดิฉันจะผิด?........จะบาป? (เพราะละทิ้ง) ไหมคะ....) ตามความเข้าใจนะคะ....สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ปลง...ทอดทิ้งมเหสีและบุตรชายเช่นกัน
ขอแนะนำให้เริ่มฟังและศึกษาพระธรรมครับ เรื่องการแสวงหาธรรม ขอให้พักไว้ก่อนเพราะธรรมะมีอยู่แล้วที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่ที่อื่น จึงไม่ใช่เรื่องของการแสวงหาหรือการพยายามจะละทิ้งสิ่งใดโดยที่ยังไม่มีความไม่เข้าใจในสิ่งนั้นๆ แต่เป็นเรื่องของความเข้าใจที่ถูกต้องโดยละเอียดตั้งแต่เบื้องต้น เริ่มตั้งแต่ " ธรรมะ คือ อะไร " ครับ
ขอเชิญคลิกอ่าน
เริ่มต้นศึกษาพระธรรมคือการรู้จักธรรมะก่อน
จุดประสงค์ที่ถูกต้องของการศึกษาพระธรรมคืออะไร?
ในสมัยพุทธกาล ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระสาวกแต่ไม่ได้บวช ก็มีครับ เช่นท่านวิสาขามิคารมารดา ท่านก็มีอาชีพค้าขาย และท่านก็มีครอบครัว มีสามี มีลูก และท่านก็เป็นพระโสดาบันโดยไม่ได้บวชตลอดชีวิตครับ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เรื่องที่เราจะพยายามทำตามเพื่อจะได้เป็นอย่างพระศาสดา โดยที่ต้องฝืนอัธยาศัยของเราเอง และไม่ใช่เรื่องที่เราจะทำ เพื่อจะได้หนีออกไปจากความทุกข์โศกใดๆ แต่เป็นเรื่องที่เมื่อได้เข้าใจความจริงที่เป็นอยู่ในชีวิตปกติมากขึ้น โดยอาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ตรง ที่ได้รู้ว่า ตนควรจะฟัง ควรจะศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม อยู่ในเพศใดจึงจะเหมาะสมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เพศ มี 2 คือ บรรพชิตและคฤหัสถ์ การที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไมได้อยู่ที่เพศแต่ อยู่ที่ปัญญาที่สะสมมาในหนทางที่ถูกต้องครับ ดังนั้นคำว่าศึกษาธรรม จึงไม่ได้หมาย- ความว่าจะต้องละทิ้งทุกอย่าง แต่ว่าธรรมมีอยู่แล้วในขณะนี้ให้ศึกษา เพียงแต่ว่าปัญญา ไม่รู้เท่านั้นเอง ดังนั้นเพศไหน (บรรพชิตหรือคฤหัสถ์) ก็สามารถบรรลุธรรมได้ครับ ขณะ- นี้ก็กำลังสนทนาเพื่อความเข้าใจก็ชื่อว่ากำลังอบรมปัญญาอยู่ อันเป็นเหตุให้บรรลุธรรม แล้วครับ ดังนั้นจะสละทิ้งทั้งหมดหรือไม่สละทิ้งทั้งหมดก็ตาม หากไม่มีปัญญาแล้วก็ไม่ สามารถบรรลุธรรมได้เลยครับ ซึ่งปัญญาจะเกิดก็จากการฟังธรรมให้เข้าใจครับ ขอให้ เริ่มจากเหตุที่ถูกต้องคือการฟังธรรม ไม่ใช่อย่างอื่นครับ การศึกษาธรรมจึงเป็นเรื่องเบา สบายเพราะธรรมมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรือให้ผิดปรกติในชีวิต ประจำวันอย่างไรเลยครับ
ขออนุโมทนา
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ....
เริ่มต้นศึกษาพระธรรมคือการรู้จักธรรมะก่อน
ปัญญาย่อมเกิดจากการฟัง การศึกษา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอกราบขอบพระคุณที่ชี้แนะให้ความกระจ่างค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ
กระทู้นี้น่าสนใจ ขอเสดงความคิดเห็นอย่างนี้ครับ
มีพระสูตรหนึ่งที่ว่า ภรรยาของนายพรานซึ่งเป็นโสดาบันเตรียมอาวุธให้นายพรานออกล่าสัตว์ น่าศึกษาว่าจิตของโสดาบันขณะนั้นมีเจตนาฆ่าไหม ไม่มีแน่นอน แล้วเราล่ามีเจตนาฆ่าไหม ถ้าไม่มีก็ไม่ครบองค์ แต่จะรู้ได้ยังไงเมื่อเรายังไม่เป็นโสดาบัน ก็ไม่ต้องเสียใจครับอาชีพค้ายาฆ่าแมลงหรืออาชีพไดๆ ก็ตามก็ต้องระวังรักษาจิตไม่ให้ตกไปกับอกุศล ดีสิกลัวบาปเพราะล่อเหลมในอาชีพทำให้ระวังมากขึ้น เริ่มด้วยทุกอย่างเป็นธัมมะช่วยได้ ครับ
ข้อความบางตอน จากการบรรยายธรรมโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
พวกชาวประมงก็มีปัญหาเหมือนกัน ในเรื่องอาชีพแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นชาวประมง.
คนที่สะสมเหตุปัจจัยมาซึ่งเป็นเหตุ ที่ทำให้ต้องเกิดมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนั้นหรือมีเชื้อสายวงศ์ตระกูล ที่ได้ประกอบอาชีพอย่างนั้นมาก็เป็นเหตุ ให้มีความโน้มเอียงที่จะมีอาชีพอย่างนั้น.
แต่บางท่านก็เลิก...บางท่านก็ไม่เลิกบางท่านก็สะสมเหตุปัจจัยใหม่ โดยการเจริญกุศลมากขึ้น.
เมื่อเจริญกุศลมากขึ้นเรื่อยๆ และอบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสไปเรื่อยๆ จนรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระอริยบุคคล ก็พ้นจากกรรมที่ได้กระทำไว้คือ กรรมที่เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ.
แต่ที่สำคัญ ทุกอย่างมีทางออกและหลีกเลี่ยงได้เสมอ แม้การประกอบอาชีพ การดับกิเลสยังดับได้ แม้ว่าเป็นสิ่งที่ยาก จะกล่าวไปใย ถึงการเลือกประกอบอาชีพในทางที่ถูกต้องครับ หากเห็นประโยชน์และเห็นโทษจริงๆ ครับ.
ขออนุโมทนาคุณ เผดิม ค่ะ.