มีธรรมะข้อไหนบ้างที่ช่วยคลายความเศร้าโศกได้บ้าง

 
yoyo
วันที่  7 เม.ย. 2552
หมายเลข  11911
อ่าน  15,259

กระผมเองรู้ทั้งรู้ว่าคนเราทุกคนหนีความตายไม่พ้น และก็รู้ว่าเมื่อมีการตายต้องมีการ

พลัดพรากจากกันเป็นของธรรมดา ทุกวันไหว้พระ สวดมนต์และใส่บาตรทุกวันพระตาม

ที่ได้รับคำแนะจากพระและเพื่อนฝูง แต่ไม่เห็นดีขึ้นแลย ยิ่งนานวันยิ่งทำใจไม่ได้

พยายามทำใจที่จะไม่คิดพยายามที่จะลืม แต่มันแว๊บมาเอง อย่างที่บอกว่ายิ่งนานวันดู

เหมือนทำใจไม่ได้เลย... จึงขอเมตตาจากท่านผู้รู้ว่าจะมีวิธีไหนหรือมีธรรมะข้อไหน

อย่างไร ช่วยให้หายความเศร้าโศกได้บ้างครับ กราบขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 8 เม.ย. 2552

พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อการดับทุกข์ในวัฏฏะทั้งหมด ผู้ที่ฟังพระธรรมแล้วเกิดปัญญารู้ความจริงจึงดับทุกข์ทางใจ ดับโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส ความเศร้าโศกได้ สำหรับผู้ที่ปัญญายังไม่ถึงก็ย่อมยังมีความทุกข์ความเศร้าโศกเป็นธรรมดา แต่จะน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ดังนั้นการศึกษาพระธรรมจนค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนปัญญาสมบูรณ์จึงเป็นหนทางเพื่อการดับทุกข์ทั้งหมดได้ อย่างน้อยขณะที่รู้ว่าความเศร้าโศกเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ขณะนั้นก็ความเศร้าก็เริ่มคลายลงได้ แม้การเจริญกุศลอื่นๆ ก็ช่วยบรรเทาความโศกเศร้าได้ครับขอเชิญคลิกอ่าน ..

การพลัดพรากจากของรักเป็นธรรมดาของโลก เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ นี้เป็นธรรมดาของโลก ! เป็นการยากที่จะไม่มีความเศร้าโศกเสียใจ เรายังเป็นปุถุชนยังมีกิเลสอยู่ย่อมต้องโศกเศร้า

การพลัดพรากจากของรัก

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 8 เม.ย. 2552

เป็นการยากที่จะไม่มีความเศร้าโศกเสียใจ เมื่อพลัดพรากจากของที่รัก ที่ว่าจะเตรียมตัวอย่างไรนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าทำไมจึงมีความเศร้าโศกเสียใจ คำตอบก็คือเพราะมีความติดข้องผูกพันในสิ่งอันเป็นที่รัก ถ้าเราไม่มีความติดข้องผูกพัน ก็จะไม่มีความเสียใจในการ พลัดพรากจากสิ่งนั้น คำถามต่อไปก็คือ จะละคลายหรือดับความติดข้องได้อย่างไร คำ ตอบก็คือต้องมีความเข้าใจตามความเป็นจริง ว่าทุกสิ่งที่เราติดข้องพอใจนั้น แท้จริงก็เป็น เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ต้องด้วยปัญญาที่เป็นขั้นภาวนาจริงๆ ไม่ใช่เพียงขั้นคิดนึกเท่านั้น จึงจะคลายความติดข้องไปได้บ้าง แต่ถ้าจะปราศจากความเศร้าโศกเสียใจจริงๆ เลย จะต้องเจริญปัญญาจนถึงขั้นเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามี เพราะแม้จะมีปัญญาถึงขั้นพระโสดาบัน หรือพระสกทาคามี ก็ยังมีความเศร้าโศก เสียใจ เพราะยังมีความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ อยู่ ดังนั้นควรเห็นประโยชน์ของการอบรมเจริญปัญญา ที่เริ่มจากการฟังธรรม ศึกษาธรรม ที่จะค่อยๆ สะสมความรู้ความเข้าใจไปที่ละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่จะหวังเกินวิสัยที่จะไม่เศร้าโศกในสิ่งที่ติดข้องผูกพัน

คัดจากกระดาน "ธรรมทัศนะ"

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
พงศ์ศิริ
วันที่ 8 เม.ย. 2552

ยิ่งนานวันยิ่งทำใจไม่ได้... แสดงว่ายังนานไม่พอค่ะ

วันที่ 7 เมษายน 2553 ลองกลับมาอ่านกระทู้ของคุณอีกที

คุณจะได้สัมผัสว่า

เกิดขึ้น ...ทุกข์อะไรอย่างนี้หนอ... อยากตาย

ตั้งอยู่ ...เมื่อไรจะหายทุกข์เสียทีทรมาณเหลือเกินแล้ว

ดับไป ...เออ..จริงด้วย

ไม่เห็นด้วยอย่างไรก็อย่าเพิ่งถือโทษ

กับคนไร้สาระที่เคยอยากตายมาก่อน เลยนะน้องเอ๋ย

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 8 เม.ย. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น บุคคลผู้ที่ยังมีความเศร้าโศกอยู่นั้น หมายถึงความเป็นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังมีความติดข้อง ยินดีพอใจ ยังมีอวิชชา จึงยังต้องเศร้าโศก แต่เมื่อได้อาศัยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ย่อมจะทำให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าเป็นสภาพธรรม เป็นธาตุแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน และสามารถที่จะละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ เป็นความจริงที่ว่า ชีวิตของแต่ละบุคคลที่เกิดมาแล้วล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีชาติ ชราย่อมติดตาม พยาธิก็ครอบงำและท้ายที่สุดก็ถูกมรณะคือความตายห้ำหั่น ทำให้เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก และที่สำคัญไม่มีอะไรจะติดตามไปได้นอกจากสภาพธรรมที่สะสมอยู่ในจิตทุกขณะ นั่นก็คือกุศลและอกุศล เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ความเป็นผู้ไม่ประมาทจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ คือ ไม่ประมาทกำลังของอกุศลและไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ ซึ่งรวมถึงการอบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย เพราะเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตในภพนี้ชาตินี้มาถึงต้องบ่ายหน้าเข้าสู่ความตาย ไม่มีใครสามารถที่จะขอร้องได้เลยว่าโปรดรอสัก ๒-๓ วันก่อน เพราะข้าพเจ้ายังไม่ได้เจริญกุศล ยังไม่ได้ให้ทาน ยังไม่ได้ฟังพระธรรมเลย จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดน่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
dron
วันที่ 8 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
พุทธรักษา
วันที่ 8 เม.ย. 2552

ในสมัยที่พระผู้มีพระภาค ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่นั้นมีตัวอย่างของบุคคลมากมายที่ท่านประสบกับความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักเช่น "ปฏาจาราภิกษุณี"
ซึ่งก่อนที่จะได้พบกับพระผู้มีพระภาคและ ได้ฟังพระธรรมจากพระผู้มีพระภาค จนได้ดวงตาเห็นธรรมชีวิตของท่าน ก็ประสบความทุกข์ ทั้งกาย ใจ อย่างแสนสาหัส.

ท่านสูญเสียสามี บุตรสองคน และสามี ในวันเดียวกันท่านถูกทุกขเวทนาท่วมทับจนกระทั่งเสียสติ...ชาวบ้านเห็น ก็เรียกว่า หญิงบ้าข้อความโดยละเอียดในพระไตรปิฎกนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าอยู่ที่พระสูตรไหนแต่มีข้อความ ที่ได้คัดลอกมาจากหนังสือ "ธรรมานุภาพ"ของ มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยที่ท่านคัดลอก ข้อธรรม ที่พระผู้มีภาคตรัสกับ นางปฏาจาราตั้งแต่ที่ท่านยังเสียสติ........จนกระทั่งท่านได้บวช และได้พิจารณาธรรมขณะที่ท่านกำลังตักน้ำล้างเท้า...ท่านพิจารณาถึงชีวิตตามความเป็นจริงและบรรลุเป็นพระอรหันต์ ในที่สุด.
ลองอ่านข้อความนี้นะคะมี "ข้อธรรม" ที่ควรแก่การพิจารณามากมายค่ะ.
.
.
.
ปฏาจาราภิกษุณี

สาหรับตัวอย่างอื่นๆ ของบุคคลที่ทุกข์เพราะความพลักพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกนั้น มีอีกมาก.
เช่น ในครั้งที่ นางวิสาขามิคารมาตา อุบาสิกา ผู้เลิศในการถวายทานท่านเป็นพระโสดาบัน แต่ท่านก็ยังมีความรัก ความผูกพันอยู่ในบุตรหลานของท่านเมื่อหลานที่ท่านรักมากได้เสียชีวิตไป...ท่านก็เศร้าโศก ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาค ตรัสกับท่านด้วย "ข้อธรรม" ที่ควรแก่การพิจารณาเช่นกัน.
ซึ่งท่านก็อ่านได้ที่นี่....
.
.
.
วิสาขาสูตร .. ว่าด้วยรักมีเท่าไรทุกข์ก็มีเท่านั้น (08-09-50) แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคทรงดับขันธปรินพพานท่านพระอานนท์...ท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านก็ยังมีความรักความผูกพันในพระศาสดาเป็นอันมาก....ดัง "ข้อธรรม" ที่ควรแก่การพิจารณา ซึ่งท่านก็อ่านได้ที่นี่.....
.
.
.
ปฐมสังคยานา...๒สำหรับเราๆ ที่เป็นปุถุชนนั้น เมื่อต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักก็ย่อมต้องถูกครอบงำไปด้วยโทมนัสเวทนา เช่นนี้ เป็นธรรดา เหมือนกันทุกคนแต่จากการศึกษาพระธรรม และ จาก ตัวอย่างชีวิตของอริยสาวกในครั้งพุทธกาลก็มี "ข้อธรรม" ที่เป็นเครื่องเตือนสติ ได้...ไม่มากก็น้อย.
ในสถานการณ์ เช่นนี้......ถ้า "สติ" ไม่เกิด ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงอาจจะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการกระทำ ที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม.
จึงควรระมัดระวัง ความคิด และ การกระทำเพราะความทุกข์ใจจากความคิดนั้น อาจจะปรุงแต่งไปในทางที่ไม่ดีเมื่อคิดไม่ดี ก็อาจจะทำในสิ่งที่ไม่ดี อันเป็นการสร้างกรรมใหม่ที่ไม่ดีนอกจากไม่สามารถพ้นทุกข์ได้จริงๆ แล้ว ยังเป็นการเพิ่มทุกข์ต่อๆ ไปอีก...หากขาด "สติ"
ความทุกข์ใจก็เป็นอนัตตาเมื่อเกิดได้ ก็ต้องดับได้ ไม่คงอยู่ตลอดไปห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้...ห้ามไม่ให้คิดก็ไม่ได้ จึงไม่ต้องไปห้ามแต่ "สติ" ที่รู้ "ลักษณะ" ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏนั้นเองจะทำให้สามารถอยู่ได้ อดทนได้......แม้ต้องใช้เวลานานก็ตาม.
เมื่อผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ ท่านก็จะเห็นว่า จริงๆ แล้ว ก็สามารถผ่านไปได้ถ้ามี "สติ" และ มีความอดทน.
กลางคืนผ่านไปได้ ก็เป็นกลางวัน ฉันใดความทุกข์ ความสุข ก็วนเวียน สลับสับเปลี่ยนในชีวิตของแต่ละคนไม่ทุกข์ ก็สุข ไม่สุข ก็ทุกข์ ก็ฉันนั้น.
ขณะที่ "สติ" กำลังรู้ "ลักษณะ" ของความเศร้าใจขณะนั้น...ไม่ใช่ขณะที่กำลังเศร้าใจ.
ถ้า "สติ" ค่อยๆ เกิด บ่อยขึ้นๆ ทีละเล็ก ทีละน้อยแม้ความเศร้ายังมีอยู่ สติ ก็ระลึกรู้ "ลักษณะของความเศร้าที่กำลังปรากฏ"ขณะนั้น ก็ไม่หลงลืมสติ ไปกับ เรื่องราว...ที่ผ่านไปแล้ว.
สุดท้ายนี้.....ขอความเจริญในกุศลจิตของคุณเป็นปัจจัยให้คุณ เจริญกุศลในกุศล ทุกประการและขอฝาก "ข้อธรรม" ที่บรรยายโดยท่านอาจารย์สุจินต์ เพื่อ ฟัง...ประกอบการพิจารณาต่อไป นะคะ.
.
.
.
ขอเชิญฟัง............
DhPTV 24 ... นำธรรมะมาใช้คลายทุกข์?

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 9 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สามารถ
วันที่ 9 เม.ย. 2552

เป็นที่น่ามหัศจรรย์ครับพระธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงขณะใดที่รู้ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ แม้ความโศกเศร้าก็ตาม ว่าเป็นเพียงสิ่งที่มีอยู่และกำลังแสดงอำนาจแห่งตนอยู่มีเพียงสติที่รับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่มีเราเข้าไปยุ่งในเหตุการณ์ตอนนั้นเอง หมดความทุกข์โศก ความร่ำไรทั้งปวงครับเพียงต้องอาศัย ความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ อยู่เนืองๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
paderm
วันที่ 9 เม.ย. 2552

ละด้วยความเป็นเรา ด้วยความอยาก ไม่ใช่หนทาง

ละด้วยความเข้าใจถูก ละด้วยปัญญา ด้วยความเข้าใจตามความเป็นจริง

ในความทุกข์ ที่เกิดขึ้น เข้าใจว่ามีจริงเป็นธรรมไม่ใช่เรา เป็นหนทาง

แต่ต้องอาศัยการฟังต่อไป ทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นธรรมดา

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
happyindy
วันที่ 10 เม.ย. 2552

แหม อนัตตาจริงๆ นะคะ

ตอนอินดี้ชีช้ำ อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ

ทำอะไรไม่ได้

แต่เมื่อยอมรับว่า สิ่งที่เราต้องการ มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยที่จะให้เป็นไปได้

ความพลัดพราก ห้ามไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ ทุกชีวิตต้องพบเจอ

ความเสียใจก็ห้ามไม่ได้อีกเหมือนกัน

ไหนๆ ก็ไหนๆ

อยากร้องไห้ อยากคิดถึงร่ำไรคร่ำครวญ ก็เป็นไป ตามการสะสม

แต่ถ้าจะถามว่า ธรรมะ ข้อใดที่ช่วยคลายโศกได้บ้าง

ตอบว่า ทุกข้อ

ขึ้นอยู่กับว่า ฟังหรือยัง ฟังบ่อยแค่ไหน เข้าใจรึเปล่า

อินดี้จึงไม่ได้เลือกฟังธรรมข้อใดเป็นพิเศษในเวลาที่ชีวิตมันขม

แต่เปิดแผ่นไว้เลยค่ะ

ตอนร้องไห้ตอนคิดก็ไม่ได้ยินเสียง

ตอนได้ยินเสียงก็ไม่ได้ร้องไห้และไม่ได้คิด

ไม่ได้ไปกฎเกณฑ์อะไรมันสักอย่าง ก็มันกำหนดไม่ได้

ผ่านไปหลายวัน หลายสัปดาห์ เป็นเดือน หลายเดือน

อะไรๆ บางอย่างมันก็เลือนไป หรือ อะไรๆ บางสิ่งมันก็เข้มขึ้นตามกาลเวลา

คุณ yoyo ทำอะไรมากที่สุดในวันหนึ่งๆ ละคะ

ถ้าคุณคิดว่าคนที่จากคุณไปเขารับรู้ได้

เขาจะยินดีอนุโมทนาเรื่องใดมากกว่ากัน

ระหว่าง

ได้รู้ว่าคุณกำลังศึกษาธรรมะ และดำเนินชีวิตแต่ละวันอย่างมีคุณค่าตามอัตภาพ

หรือ

ได้รู้ว่า คุณหม่นหมองกับความคำนึงถึงในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ไม่เป็นแม้กุศลที่จะอุทิศไปให้เขา

.
.
.

ถ้าเป็นคุณ

คุณจะเลือกข้อไหนคะ

ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
opanayigo
วันที่ 10 เม.ย. 2552

เป็นสภาพธรรมที่มีจริง

และเป็นอนัตตาจริง

เรายึดสุข ได้มากกว่าทุกข์

เราวางทุกข์ได้เร็ว กว่าสุข

เราติดสุข มากกว่าติดทุกข์

กิเลสของเรา เรายังหวง ยังเสียดาย

ลองฟังเรื่อง "สุเมธาเถรีคาถา" ค่ะ

ฟังบ่อยๆ เรื่อยๆ สบายๆ

ค่อยๆ พิจารณาตามทีละเล็กละน้อย

ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องพยายาม

จากประสบการณ์ตรง... ที่ไม่เศร้าฟูมฟายกับการพลัดพรากจากสิ่งหรือบุคคลอันเป็นที่รัก คือ การระลึกถึงในด้านคุณงามความดีที่เคยร่วมทำกันมาในการเจริญกุศลต่างๆ ซึ่งก็เป็นการดีแล้วในการได้มาพบกันในชาตินี้และได้เกื้อกูลกัน...ในโลกนี้มิมีสิ่งที่เป็นของเราอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่ร่างกาย+ใจนี้ก็ยังมิใช่

ทุกสิ่งสมบูรณ์พร้อมด้วยเหตุและผลแล้ว

เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ปรากฎ และหมดไป ตามกาล

การฟังธรรมเสมอๆ ย่อมอุปการะ

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
opanayigo
วันที่ 11 เม.ย. 2552

ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ในโลกนี้ ไม่มีเครื่องหมาย ใครๆ รู้ไม่ได้ ทั้งลำบาก ทั้งน้อย และประกอบด้วยทุกข์ สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดแล้ว จะไม่ตายด้วยความพยายามอันใด ความพยายามอันนั้นไม่มีเลย แม้จะอยู่ได้ถึงชราก็ต้องตาย เพราะสัตว์ทั้งหลายมีอย่างนี้เป็นธรรมดาผลไม้สุกงอมแล้ว ชื่อว่าย่อมมีภัยเพราะจะต้องร่วงหล่นลงไปในเวลาเช้าฉันใด สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดแล้ว ชื่อว่าย่อมมีภัย เพราะต้องตายเป็นนิตย์ ฉันนั้น

ภาชนะดินที่นายช่างทำแล้วทุกชนิด มีความแตกเป็นที่สุด แม้ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนเขลา ทั้งคนฉลาด ล้วนไปสู่อำนาจของความ
ตาย มีความตายเป็นที่ไปในเบื้องหน้าด้วยกันทั้งหมด เมื่อสัตว์เหล่านั้นถูกความตายครอบงำแล้ว ต้องไปปรโลก บิดาจะป้องกันบุตรไว้ก็ไม่ได้ หรือพวกญาติจะป้องกันพวกญาติไว้ก็ไม่ได้ จาก....พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต สัลลสูตร

กราบอนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 11 เม.ย. 2552

ไม่มีใครหนีความตายไปได้จนกว่าจะถึงความเป็นพระอหันต์ และไม่มีใครหนีความ

โศกเศร้าไปได้จนกว่าจะถึงความเป็นพระอนาคามี จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ปุถุชนอย่าง

พวกเราเมื่อมีการพลัดพรากจากสิ่งที่รักย่อมเป็นทุกข์ ควรที่จะฟังพระธรรมอบรมเจริญ

ความเห็นถูกเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้นแม้ความ

เศร้าโศกก็เกิดขึ้นตามเหตปัจจัย ไม่สามารถที่ใครจะบังคับไม่ให้เกิดได้เลยเป็นเพียง

รูปธรรม และนามธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีเราแม้ขณะเดียว จากการได้

ศึกษาพระธรรมค่อยๆ เข้าใจในความจริงของสิ่งที่มีอยู่จริงๆ ที่กำลังปรากฎย่อมค่อยๆ ละ

คลายความโศกเศร้าลงได้ค่ะ เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่.......

ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Khaeota
วันที่ 11 เม.ย. 2552


ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตคัดลอกข้อความบางส่วนของ คุณ YOYO ค่ะ

จึงขอเมตตาจากท่านผู้รู้ว่าจะมีวิธีไหนหรือมีธรรมะข้อไหน

อย่างไร ช่วยให้หายความเศร้าโศกได้บ้างครับ กราบขอบพระคุณครับ

..................

เริ่มคิดพิจารณาเฉพาะชาติภพนี้

ยังจะต้องมีการพลัดพรากอีกหลายครา

มีธรรมะข้อไหน

ช่วยให้หายความเศร้าโศกได้บ้าง..........

ท่านอ สุจินต์ เคยได้แสดงไว้ว่า

ธรรมที่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้

ไม่ใช่ยาแก้ปวด

ที่คิดว่าพออ่านหรือได้ฟังแล้ว ความโศรกเศร้าจะหายไปได้

............

มีธรรมเพียงข้อเดียวจริงๆ ที่ไม่เพียงแต่ช่วยจะหายเศร้าโศกในครั้งนี้แต่

จะไม่ต้องเศร้าโศกอีกเลย...

" ปัญญา "

แต่จะอบรมให้มีและให้เจริญขึ้นได้อย่างไร

" ด้วยหนทางที่ถูก "

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
wannee.s
วันที่ 12 เม.ย. 2552

มีทางเดียวที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้คือการศึกษาธรรมะ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน เช่น

ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ คือให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่คำนึงถึงสิ่งที่

ล่วงไปแล้ว หรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง คือระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่ปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ