มรณสติ

 
พุทธรักษา
วันที่  11 เม.ย. 2552
หมายเลข  11941
อ่าน  3,332

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอน จาก หนังสือบทบาทของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในการเผยแผ่พุทธธรรมเรียบเรียงโดย พระธนนาถ นิธิปญฺโญ (พลกรรณ์) หน้า ๑๒๒ - ๑๒๕

ท่านอาจารย์สุจินต์ ได้บรรยายธรรมไว้ตอนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่อง "มรณสติ" ดังนี้

การพบกันครั้งสุดท้าย ก่อนตายจากไปนั้น ไม่มีเครื่องหมายไม่มีสิ่งใดเลย ที่จะแสดงให้รู้ว่า เมื่อเห็นกันแล้ว จะไม่ได้เห็นกันอีก เมื่อเห็นตอนเช้า ก็อาจไม่ได้เห็นตอนเย็น หรือ เห็นตอนเย็น ก็อาจไม่ได้เห็นตอนเช้า ทุกคน เห็นตามความเป็นจริง ว่าไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยง หรือ ต่อรองความตายได้จะขอเวลาต่ออีก แม้เล็กน้อย ก็ไม่ได้ ฉะนั้น การกล่าวถึง "ชีวิตของแต่ละคน" ก็ไม่พ้นไปจาก การพิจารณาสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และ เป็นไปของแต่ละบุคคลซึ่ง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย

เมื่อพูดกันถึง "ผู้ตาย" ก็ควรจะได้ระลึกถึงสภาพจิตในขณะนั้น ว่า แยบคายหรือยัง แทนที่จะเศร้าโศกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ก็ควรจะเป็นความเบิกบาน ในพระธรรมที่ได้เข้าใจความจริง อันเป็นสัจจธรรมซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรั้สรู้ และ ทรงแสดงถึง "ความธรรมดาของการเกิดซึ่งต้องมีการตาย" เมื่อเกิดแล้ว ที่จะไม่ตายนั้น ไม่มี และการตายนั้น ก็ไม่สามารถที่จะรู้ล่วงหน้าได้เลย เมื่อเข้าใจความจริง ก็รู้ว่าความจริง เป็น สัจจธรรม ชีวิตเรา เป็น กระแสจิตที่เกิดดับ สืบต่อกันทีละ ๑ ขณะจิต เรื่อยไปตั้งแต่เกิดจนตายจากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง

กิเลสทุกชนิด เกิดขึ้นเพราะได้สะสมมาแล้วในอดีตเมื่อ "ปัญญา" ยังไม่เจริญถึงขั้น "ดับกิเลส"กิเลส ก็เกิดต่อไปในอนาคต การระลึกถึง "ความตาย" เนืองๆ บ่อยๆ ย่อมมีประโยชน์ แก่การเจริญสติปัฏฐาน

เมื่อระลึกได้ ว่า อาจจะตายเย็นนี้ หรือพรุ่งนี้ ก็ได้ ก็จะเป็นปัจจัย เกื้อกูลให้ "สติ" ระลึกรู้ "ลักษณะ" ของ นามธรรม และ รูปธรรม ที่กำลังปรากฏ เพราะว่า ผู้ที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็น พระอริยบุคคล นั้นเมื่อจุติแล้ว ก็ไม่แน่นอนว่าจะปฏิสนธิในสุคติภูมิ หรือ ทุคติภูมิจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม และ เจริญสติปัฏฐาน อีกหรือไม่


"การตาย" พรากทุกสิ่งทุกอย่าง จากชาตินี้ไป จนหมดสิ้นไม่มีอะไรเหลืออีกเลย แม้แต่ ความทรงจำ เหมือนเมื่อเกิดมาชาตินี้ก็จำไม่ได้ว่า ชาติก่อน เป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไรหมดความเป็นบุคคลในชาติก่อน โดยสิ้นเชิง ฉันใด ชาตินี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเคยทำกุศลกรรม และ อกุศลกรรมอะไรมาแล้วเป็นบุคคลที่มีมานะในชาติตระกูล ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง อะไรๆ ก็ตาม ก็จะต้องหมดสิ้นไม่มีเยื่อใย หลงเหลือ เกี่ยวข้องกับภพนี้ ชาตินี้ อีกเลย หมดความผูกพัน ยึดถือทุกขณะในชาตินี้ว่า "เป็นเรา" อีกต่อไป ฉันนั้น การประจักษ์แจ้ง "ลักษณะ" ที่แท้จริงของ ปรมัตถธรรมจะพรากจาก การยึดถือ "สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย" ว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน แม้แต่ "ความทรงจำ" ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปนั้น ก็เป็นแต่เพียง "นามธรรม" ประเภทหนึ่งเท่านั้น

"สติ" ที่ระลึกรู้ "ลักษณะ" ของนามธรรม และ รูปธรรม จน "ปัญญา" ประจักษ์แจ้ง สภาพธรรม (แล้วเท่านั้น) จึงจะพรากจากความเป็นตัวตน เป็นบุคคลในชาตินี้ได้ เมื่อ "ปัญญา" ได้ประจักษ์ "ลักษณะ" ที่เป็น "ขณิกมรณะ" ของสภาพธรรมทั้งหลาย

"มรณะ" หรือ "ความตาย" มี ๓ ประเภท คือ

๑. ขณิกมรณะ คือ การเกิดขึ้น และ ดับไป ของสังขารธรรมทั้งหลาย.

๒. สมมติมรณะ คือ ความตายในภพชาติหนึ่ง.

๓. สมุจเฉทมรณะ คือ การปรินิพพาน เป็นการตายของพระอรหันต์ซึ่งไม่มีการเกิดขึ้นอีกเลย..โอกาสที่เป็นมนุษย์ในโลกนี้ กำลังหมดไปทุกวันคืน.วัย เสื่อมไปทุกขณะ ที่หลับตา และ ลืมตา

ถ้าบุคคล ยังเศร้าโศกถึง "สิ่งที่ไม่มี" แก่สัตว์ผู้เศร้าโศกนั้นพึงเศร้าโศกถึง "ตน" ซึ่งยังตกอยู่ในอำนาจของมัจจุราชตลอดเวลา ในอัตภาพ ซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอต้องมีการพลัดพรากจากกัน โดยไม่ต้องสงสัยหมู่สัตว์ที่ยังอยู่ ควรเอ็นดูกันส่วนที่ตายไปแล้ว ไม่ควรเศร้าโศกถึง ของหาย คือ ตัวอย่างของการพลัดพรากเล็กน้อยส่วนการตาย นั้น ต้องจากทุกสิ่งเพียงชาติเดียวที่พบกัน แล้วไม่ได้พบกันอีก ต่างคนต่างไป ตามกรรมของตน ที่ได้สะสมมา ภัยของชีวิต มีทุกขณะเกิดมา เป็นบุคคลหนึ่งๆ เพียงชาติเดียวไม่นาน แล้วก็จากไปพ้นจากความเป็นบุคคลนั้น โดยไม่เหลือเลย โลกก่อน ชาติก่อน ที่ทุกคนจากมาไม่รู้ว่า ชาติก่อน ใครยังร้องไห้ คิดถึงเราอยู่ไม่รู้ว่า คนที่เกิดใหม่ เคยเป็นใครที่เราเคยรู้จักจึงควรเมตตาต่อกัน ทำดีกับทุกคน เพราะไม่รู้ว่า เมื่อไรจะจากกันไป จะต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ที่อยู่อาศัย คือ ที่พักชั่วคราวในโลกนี้ เท่านั้นไม่ควรกังวลจนเกินไป แล้วก็จะจากไป


ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เบน
วันที่ 11 เม.ย. 2552

ความจริง เป็นคำที่ไพเราะเสมอ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ING
วันที่ 11 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ สาธุ

จะขออนุญาตคัดลอกบทความของท่านพุทธรักษา ที่ลงในกระดานสนทนาของบ้านธัมมะนี้ไปลงใน blog ของดิฉันเองที่บริษัทฯ ได้หรือไม่คะ

ขอขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 11 เม.ย. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
suwit02
วันที่ 11 เม.ย. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2552

บ้านธัมมะยินดีให้ทุกท่านนำข้อความหรือเนื้อหาพระธรรมที่ถูกต้อง ตรงตาม พระไตรปิฎก ไปเผยแพร่ได้

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 11 เม.ย. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
พุทธรักษา
วันที่ 11 เม.ย. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 11941 ความคิดเห็นที่ 5 โดย บ้านธัมมะ

บ้านธัมมะยินดีให้ทุกท่านนำข้อความหรือเนื้อหาพระธรรมที่ถูกต้อง ตรงตาม พระไตรปิฎก ไปเผยแพร่ได้

ขออนุโมทนา

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ING
วันที่ 11 เม.ย. 2552

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ups
วันที่ 11 เม.ย. 2552
สาธุ สาธุ สาธุ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 12 เม.ย. 2552

ในอัตภาพ ซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอ ต้องมีการพลัดพรากจากกัน โดยไม่ต้องสงสัย หมู่สัตว์ที่ยังอยู่ ควรเอ็นดูกัน ส่วนที่ตายไปแล้ว ไม่ควรเศร้าโศกถึง

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 13 เม.ย. 2552

ขอเชิญอ่านเพิ่มเติมที่นี่ค่ะ ..

การพิจารณาความตาย

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
hadezz
วันที่ 18 เม.ย. 2552

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
opanayigo
วันที่ 18 ต.ค. 2552

นี่คือ สัจธรรม ความจริงแห่งชีวิต

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
peem
วันที่ 1 ก.พ. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
เจียมจิต
วันที่ 27 ต.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
ก.ไก่
วันที่ 5 มี.ค. 2564

สาธุ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ