หรือจะเกิดมิคสัญญี
หรือจะเกิดมิคสัญญี
เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 52 ดูทีวีเห็นภาพคนเสื้อแดงวิ่งไล่ทุบกระจกรถนายกอภิสิทธิ์ ที่ กระทรวงมหาดไทย ด้วยความโกรธแค้น เห็นแล้วโทสะเดือดพลุ่งราวกับน้ำร้อนเดือด หัวใจบีบหดตัวจนรู้สึกอึดอัด เข้าใจคำว่า ใจหดหู่ เป็นอย่างนี้เอง จึงปิดทีวี เพราะเกรง จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากเป็นทั้งความดันโลหิตสูงและไขมันในเส้นเลือด สูง กลัวจุติจิตจะเกิดตอนมีโทสะ และมาพิมพ์คำบรรยายแนวทางเจริญวิปัสสนา ค่อย ยังชั่วขึ้นหน่อย แต่ใจก็ไม่ผ่องใสเช่นเคย
ทำให้นึกถึงคำบรรยายของท่านอาจารย์ตอน หนึ่งว่า เหตุการณ์ในชีวิตทำให้รู้ว่า เคยสะสมการเจริญสติปัฏฐานมาในอดีตชาติ หรือไม่ ถ้าเคยสะสมมาก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดโยนิโสมนสิการ การพิจารณาโดยแยบคาย ที่จะให้เป็นกุศล ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใดก็ตาม ทำให้รู้ว่าตนเองคงไม่เคยเจริญสติ ปัฏฐานมาก่อน โยนิโสมนสิการจึงไม่เกิด ทั้งๆ ที่ได้ยินได้ฟังธรรมมามากพอสมควร เช่น ถ้ามีกัมมัสสกตาปัญญาจริง เชื่อว่า ทุกคนมีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม ใคร ทำกรรมใดไว้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว ก็ต้องรับผลของกรรมนั้น ก็จะไม่เกิดโทสะรุนแรงอย่างนั้น เพราะรู้ว่า คนมีเวรย่อมประหัตประหารกัน จนกว่าจะหมดเวรกันไปเป็นธรรมดา หรือ ประจักษ์ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นเพราะเหตุ ปัจจัย ไม่คงที่อยู่อย่างนี้ เกิดแล้วก็ดับไปหรือเรื่องพระญาติของพระผู้มีพระภาคที่ทรงสู้ รบกัน แม้พระองค์จะทรงห้ามถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่สำเร็จ เพราะเป็นผู้มีเวรต่อกัน แล้วเราเป็น ใคร แค่อยากให้เขาหยุดทะเลาะกันเท่านั้น จะทำให้เขาหยุดทันใจได้อย่างไร แต่ความ รู้ที่ว่านี้ ก็เป็นเพียงขั้นจำ ไม่ใช่ขั้นประจักษ์แจ้ง จึงยังไม่สามารถทำให้เห็นความ ธรรมดาของสภาพธรรมทั้งหมดได้ ท่านผู้ใดเกิดโยนิโสมนสิการประการใด กรุณาช่วย บอกด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
น ปเรส วิโลมานิน ปเรส กตากต อตฺตโน ว อเวกฺเขตยฺย กตานิ อกตานิ จ. "บุคคลไม่ควรทำคำแสยงขนของคนเหล่าอื่นไว้ ในใจ, ไม่ควรแลดูกิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของคน เหล่าอื่น, พึงพิจารณากิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำ ของตนเท่านั้น."
บาทพระคาถาว่า น ปเรส กตากต ความว่า ไม่ควรแลดูกรรมที่ทำแล้วและยังไม่ทำแล้ว ของคนเหล่าอื่น อย่างนั้นว่า " อุบาสกโน้น ไม่มี ศรัทธา ไม่เลื่อมใส, แม้วัตถุมีภิกษาทัพพีหนึ่งเป็นต้นในเรือน เขาก็ไม่ ให้, สลากภัตเป็นต้น
บาทพระคาถาว่าอตฺตโน ว อเวกฺเขยฺย ความว่า กุลบุตรผู้บวชด้วย ศรัทธา เมื่อระลึกถึงโอวาทนี้ว่า "บรรพชิต พึงพิจารณาเนืองๆ ว่า 'วันคืนล่วงไปๆ เราทำอะไรอยู่" ดังนี้แล้ว ก็พึงแลดูกิจที่ทำแล้วและยังมิได้ ทำของตนอย่างนั้นว่า "เราไม่อาจจะยกตนขึ้นสู่ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วทำให้เกษมจากโยคะหรือหนอ?"
ในกาลจบเทศนา อุบาสิกาดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. เทศนามี ประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ
ไม่พึงพิจารณาคนอื่นพึงพิจารณาตนเอง [เรื่องปาฏิกาชีวก]
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ถ้าพิจารณาโดยแยบคาย โลภะ โทสะ โมหะ ที่ยังไม่เกิดย่อมไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมเสื่อมไปค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สภาพธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ละบุคคลมีอัธยาศัยที่แตกต่างกันออกไปตามการสะสม เมื่อถูกกิเลสครอบงำ ย่อมมืดตื้อ ไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร มีการกระทำเป็นไปเพื่อทุกข์ เพื่อสิ่งไม่ใช่ประโยชน์แก่ชนหมู่มาก สำหรับบุคคลผู้ที่มีความเข้าใจตามความเป็นจริง ก็จะไม่โกรธ ไม่ผูกโกรธไม่ซ้ำเติมในการกระทำที่ไม่ดีของบุคคลอื่น แต่จะเกิดความกรุณาเห็นใจสงสารในการกระทำที่ไม่ดีของเขาซึ่งเป็นการสร้างเหตุใหม่ที่ไม่ดีให้กับตัวของเขาเอง พร้อมทั้งเขาจะได้รับผลที่ไม่น่าปรารถนาในอนาคตอีกด้วย (รักษาใจตนเอง ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด) เพราะเหตุว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น ไม่มีข้อความใด ที่พระองค์ทรงสนับสนุนส่งเสริมให้พุทธบริษัทเกิดอกุศลจิตเลยแม้แต่น้อยไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม และอีกประการหนึ่ง บุคคลผู้ที่มีความเข้าใจตามความเป็นจริง ย่อมจะพิจารณาตนเองเป็นสำคัญว่า เมื่อผู้อื่นประมาทอยู่ ประกอบแต่อกุศลกรรมประการต่างๆ สร้างความเดือดร้อนให้กับบุคคลอื่น แต่เราจะไม่เป็นอย่างนั้น จะเป็นผู้เห็นภัยในอกุศลธรรมทั้งหลาย อบรมเจริญปัญญาเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกของตนเองพร้อมทั้งเจริญกุศลประการต่างๆ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตคัดข้อความบางส่วนของ K khampan.a ค่ะ
เมื่อผู้อื่นประมาทอยู่ ประกอบแต่อกุศลกรรมประการต่างๆ สร้างความเดือดร้อนให้กับบุคคลอื่นแต่เราจะไม่เป็นอย่างนั้น จะเป็นผู้เห็นภัยในอกุศลธรรมทั้งหลาย อบรมเจริญปัญญาเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกของตนเองพร้อมทั้งเจริญกุศลประการต่างๆ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ครับ
ขออนุโมทนาคุณคำปั่น ... สำหรับธรรมโดนใจค่ะ ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ
ความโศก ย่อมเกิดเพราะตัณหา
ภัย ย่อมเกิดเพราะตัณหา
ความโศก ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษเพราะตัณหา
ภัย จักมีแต่ที่ไหน
วันที่ 12 เม.ย. 52 ดูข่าวที่เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง รู้สึกหดหู่ใจเหมือนกันค่ะ แต่ยังดีมีพระธรรมเป็นที่พึ่งแม้เป็นปัญญาขั้นการศึกษาการเข้าใจความจริงของสิ่ง ต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และไม่มีใครที่จะหลบหนีผลของสิ่งที่ตนได้ กระทำมาแล้วในอดีตได้ และสิ่งสำคัญไม่ควรกังวลในสิ่งซึ่งยังไม่เกิดขึ้น ก็ทำให้คลาย ความโกรธได้บ้าง แม้ความโกรธก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น และเมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นๆ กิเลสย่อมค่อยๆ ละ คลายลงตามการสะสมความเห็นถูกเข้าใจถูก ขอยกคำกล่าวท่านอาจารย์สุจินต์ ...
ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีปกติ อบรมเจริญสติปัฏฐานก็ยากที่จะไม่หวั่นไหวไป ด้วยความรัก ความชัง ขณะที่กระทบกับอารมณ์ภายนอก.
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
พระธรรมย่อมเกื้อกูลแก่ผู้น้อมเข้ามาในตนครับ แม้สติจะเกิดขึ้นช้า แต่พี่แดง (เจ้าของกระทู้) ก็ระลึกได้บ้าง ขออนุโมทนาครับ อย่าดูหมิ่นบุญกรรมจำนวนน้อย จะไม่ต้อยตามต้องสนองผล แม้ตุ่มน้ำเปิดหงายรับสายชล ย่อมเต็มล้นด้วยอุทกที่ตกลง อันบัณฑิตสะสมบ่มบุญบ่อย ทีละน้อยทำไปไม่ไหลหลง ย่อมเต็มด้วยบุญนั้นเป็นมั่นคง บุญย่อมส่งสบสถานพิมานทอง กลอนนี้เป็นของเก่า และยังมีมากกว่านี้ แต่ผมจำได้เท่านี้เอง ผู้ใดจำข้อความทีมีได้ทั้งหมดช่วยด้วยนะครับ
หรือจะเกิดมิคสัญญี เมื่อติดตามข่าวเสื้อแดงเสื้อหลือง เคยคิดกันไหมครับว่าทำไมความเชื่อของคนเหล่านั้นจึงมีกำลังมาก จนยากที่จะเปลียนแปลงได้ จะไม่สามารถ เปลียนเสื้อแดงเป็นเสื้อหลือง หรือเสื้อหลืองเป็นเสื้อแดงได้ ซึ่งอาจนำไปสู่มิคสัญญี เมื่อสงครามกลางเมืองเกิด ความเชื่อจึงเป็นสาเหตุ เมื่อมีความเชื่อมากๆ ก็จะไม่ฟัง เหตุผล เพราะจะเชื่อซะอย่าง จึงเป็นการยึดมั่นในสิ่งที่เชื่อ เป็นอุปทาน เราผู้ศึกษา ธรรม รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม เกิดแล้วก็ดับ หาสาระไม่ได้ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น จึงไม่ควรมี ความเชื่ออย่างฝังจิตฝังใจอยางนั้น เป็นปัญญา ปัญญาเท่านั้นที่จะช่วยได้ ครับ เมื่อแย่งน้ำกันพระพุทธเจ้าตรัสว่าน้ำกับชีวิตคนอะไรมี่ค่ามากกว่ากัน
จากอดีต จวบปัจจุบัน ถึง อนาคต การแก่งแย่ง-ฆ่าฟัน ช่วงชิงอำนาจเพื่อตนจะได้เป็นฝ่ายผู้ปกครอง จะคงอยู่ตลอดไปไม่จบสิ้น เพราะเป็นเรื่องของปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส สังคมของบัณฑิตและกัลยาณมิตร จะไม่ใช่แบบนี้ ครับ โดยเฉพาะในยุคที่มนุษย์มีอายุเฉลี่ย ไม่ถึง 100 ปี (ยุคนี้) พระธรรมที่ทรงแสดง จะเหมือนรอยไม้ที่ขีดในน้ำ (คือจะไม่ตั้งอยู่นาน)
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 11955 ความคิดเห็นที่ 8 โดย pornchai.s
พระธรรมย่อมเกื้อกูลแก่ผู้น้อมเข้ามาในตนครับ แม้สติจะเกิดขึ้นช้า แต่พี่แดง (เจ้าของกระทู้) ก็ระลึกได้บ้าง ขออนุโมทนาครับ อย่าดูหมิ่นบุญกรรมจำนวนน้อย จะไม่ต้อยตามต้องสนองผล แม้ตุ่มน้ำเปิดหงายรับสายชล ย่อมเต็มล้นด้วยอุทกที่ตกลง อันบัณฑิตสะสมบ่มบุญบ่อย ทีละน้อยทำไปไม่ไหลหลง ย่อมเต็มด้วยบุญนั้นเป็นมั่นคง บุญย่อมส่งสบสถานพิมานทอง กลอนนี้เป็นของเก่า และยังมีมากกว่านี้ แต่ผมจำได้เท่านี้เอง ผู้ใดจำข้อความทีมีได้ทั้งหมดช่วยด้วยนะครับ
สาธุ
จึงได้รู้ว่าการมีชีวิตอยู่คือการอยู่ด้วยปัญญาจริงๆ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่าน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นด้วยอกุศลเหตุที่มีกำลังมาก3 อย่างคือ ... โลภะ ... โทสะ ... และโมหะ ... ที่น่ากลัวมากๆ ก็คือการสะสมที่จะตามมาอีกไม่รู้กี่ร้อย ... กี่พัน ... กี่แสน ... กี่หมื่น ... กี่ล้านเท่า ... ????
ดังนั้นสิ่งที่พวกเราควรจะสะสมในปัจจุบันชาติที่น่าคิดเป็นอย่างยิ่งคือ ... กุศลเหตุ..หรืออกุศลเหตุดี..?????..
นี่คือสิ่งที่พวกเรานักศึกษาธรรมหรือลูกศิษย์ของพระตถาคตเจ้าควรจะต้องคิดดูให้ดี ...
เป็นสิ่งทดสอบ เป็นตัวอย่าง เป็นข้อคิดเตือนใจได้เป็นอย่างดีครับ ทั้งกับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้น และความเห็นในธรรมของทุกๆ ท่าน ขออนุโมทนาครับ
สิ่งที่ยังไม่เกิด ย่อมรู้ไม่ได้ เพราะยังไม่เกิด แต่กรรมไม่เคยบกพร่องในหน้าที่แน่นอน
ขออนุโมทนาค่ะ
เพลิดเพลิน ทุกข์โศก โกรธเคืองกล่าวว่าผู้อื่น หลงไปกับเรื่องราวต่างๆ จนมากมาย แต่ทันทีที่สติเกิดระลึกถึงคำท่านอาจารย์ที่พร่ำสอนว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่คิดก็ไม่มี เกิดแล้วดับแล้ว คุณของพระธรรมมีมากมายถึงเพียงนี้แม้เพียงเข้าใจขั้นฟังบ้างเล็กๆ น้อยๆ กราบเท้าบูชาพระคุณของท่านค่ะ