คิดถึงความหลังอย่างไร จึงจะเป็นประโยชน์
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1469
จากคำบรรยายแนวทางเจริญวิปัสสนาครั้งที่ ๑๔๖๙ ตอนหนึ่งว่า
ทุกคนเคยคิดถึงวันก่อนๆ แต่ขณะที่คิดถึงวันก่อนๆ เดือนก่อนๆ ปีก่อนๆ ลองพิจารณาว่า ขณะนั้นคิดด้วยความเป็นตัวตนหรือเปล่า แทนที่จะคิดว่าเมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน สิ่งที่เห็นเมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน เสียงที่ได้ยินเมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน เห็นเมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน ได้ยินเมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน ขณะนี้ไม่มีเลย เสียงเมื่อวานนี้ก็หายไปหมด กลิ่นเมื่อวานนี้ก็หายไปหมด ได้ยินเมื่อวานนี้ก็หายไปหมด เพราะฉะนั้น ตัวตนที่เคยมี เคยเป็นเมื่อวานนี้ก็ย่อมหายไปหมดด้วย สูญไปจริงๆ แล้วค่ะ ความเป็นบุคคลนี้ เมื่อวานนี้ ไม่มีเหลือเลย ฉันใด ขณะนี้ก็จะเป็นเมื่อวานนี้ของพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เอง ทุกๆ ขณะที่ผ่านไป ก็กำลังสูญสิ้นไปจริงๆ เมื่อดับแล้วก็ไม่สามารถจะยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ ถ้าใครยังยึดถืออยู่ก็เท่ากับยึดถือความว่างเปล่า แม้ในขณะเดี๋ยวนี้เองก็หมดแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เป็นชีวิตประจำวัน ถ้าคิดเรื่องอดีตก็ให้เป็นประโยชน์ โดยการที่รู้ว่า ไม่มี หมดแล้วจริงๆ จนกระทั่งมาถึงขณะนี้ก็จะได้รู้ว่า แม้ในขณะนี้ก็กำลังหมดไปๆ ไม่มีจริงๆ ด้วย โดยที่จะเกื้อกูลให้สติระลึกลักษณะของสภาพธรรม ถ้าคลายการยึดถือสภาพธรรม โดยรู้ว่า สภาพธรรมในขณะนี้ที่สติไม่ระลึก สภาพธรรมนั้นก็ดับหมดไป เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะระลึกทันทีที่ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏการที่สติไม่เกิด ไม่ระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรม จะทำให้ยังคงมีความเป็นตัวตน แล้วก็มีอกุศลธรรมที่ความจริงควรรังเกียจ แต่ก็ไม่รังเกียจ แล้วก็ยังไม่คิดที่จะละด้วย เพราะเหตุว่าไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ทำให้มีความสำคัญในเรื่องราวต่างๆ บางคน คนอื่นทำผิดแล้วรับผิด ก็ยังไม่ยอมยกโทษ เพียงเท่านี้ สั้นๆ อย่างนี้ ก็จะเห็นอำนาจของกิเลสว่า ทำไมจึงมีกิเลสมาก ถึงแม้ว่าจะยกโทษ ก็ยกโทษไม่ได้ จะเก็บความโกรธไว้ทำไม จะผูกความโกรธไว้ทำไม เพราะเหตุว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไปเท่านั้น
เป็นจริงอย่างที่อาจารย์ท่านว่าไว้จริงๆ ...ขออนุโมทนาค่ะ
เมื่อวานก็ผ่านไป วันนี้ก็มีอีก แต่ก็พอจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อวาน ทำไมโชคดีทำไมโชคร้าย ทำไมเป็นทุกข์ทำไมเป็นสุข ทำไมถึงโกรธทำไมไม่โกรธ ทำไมทำได้ทำไมทำไม่ได้ ทำไมต้องพบสิ่งนี้ทำไมไม่พบ ฯลฯ
การที่ได้หรือไม่ได้ท่านบอกว่าเป็นไปตามการสังสมเป็นไปตามวิบากกรรม ไม่สามารถบังคับได้หรือทำไห้เกิดได้ เกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วหมดแล้วหมอเลยไม่มีอีก เอาคืนมาก็ไม่ได้ ยังงั้นก็พอจะรู้ว่าเราสังสมอะไรมาบ้าง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้เป็นคนๆ นี้ เมื่อรู้อย่างนี้ก็เอาตรงนี้ไห้เป็นประโยชน์ คืออย่าไปผืนทำไนสิ่งที่ไม่ได้สังสมมา ไม่มีมา ก็จะทำไห้ไม่เดือดร้อน เช่นคนที่ฝันอยากได้อะไรต่อมิอะไรต่างๆ หรืออยากได้สติปัฎฐาน แต่สังสมต่อสิ่งที่อย่ากได้อยากมี เช่นโชคลาภ บุญ สภาพธรรมตามความเป็นจริง สติปัฏฐาน ฯลฯ
ถ้าคิดเรื่องอดีตก็ให้เป็นประโยชน์ โดยการที่รู้ว่า ไม่มี หมดแล้วจริงๆ จนกระทั่งมาถึงขณะนี้ก็จะได้รู้ว่า แม้ในขณะนี้ก็กำลังหมดไปๆ ไม่มีจริงๆ ด้วย
สาธุ
ข้อความที่ว่า.......บางคน คนอื่นทำผิดแล้วรับผิด ก็ยังไม่ยอมยกโทษ ถ้าผู้ทำผิดนั้นขอโทษ (แค่คำขอโทษ..แต่ไม่ได้คิดอย่างมั่นคงว่าเป็นโทษ) เพราะผู้ถูกขอโทษให้อภัยแล้ว..แต่ยังทำให้เกิดโทษซ้ำๆ ๆ ..อีก..ควรจะทำอย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ห้ามให้คิดในเรื่องที่ผ่านมาแล้วได้ไหม? ขณะคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วอะไรมีจริง เรื่องราวหรือความคิดมีจริง? สิ่งที่มีจริงแม้ขณะคิดในเรื่องที่ผ่านมาคือความคิด ควรรู้หรือไม่ควรรู้? สติและปัญญาสามารถเกิดระลึกรู้ลักษณะของความคิดที่มีจริงว่าเป็นธรรมได้ไหม? แม้คิดเรื่องอดีต แต่ขณะนั้น จิตที่คิดเป็นปัจจุบัน ประโยชน์คือเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เข้าใจความจริงจนเป็นกุศลจิตและปัญญาเจริญขึ้นในขณะที่กำลังคิด
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ
ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ [ภัทเทกรัตตสูตร]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 609
ทำความเสียหายด้วยธรรมใดและทำในที่ใด ธรรมเหล่านั้นแม้ทั้งหมดก็ดับไปใน ขณะนั้นเอง. บัดนี้ใครพึงทำความโกรธแก่ใคร. และใครผิดแก่ใครเพราะธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา พิจารณาดังนี้ควรเพิ่มพูนขันติสัมปทาด้วยประการฉะนี้.
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
เมื่อใดที่คิดถึงความหลัง ก็ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แม้ในขณะนี้เอง ทุกๆ ขณะที่ผ่านไป ก็กำลังสูญสิ้นไปจริงๆ เมื่อดับแล้วก็ไม่สามารถจะยึดถือว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ ถ้าใครยังยึดถืออยู่ก็เท่ากับยึดถือความว่างเปล่า แม้ในขณะเดี๋ยวนี้เอง ก็หมดแล้ว ...
ทุกๆ ขณะที่เกิดขึ้น มีแล้วหามีไม่ ความโกรธเมื่อกี้นี้มี หมดแล้ว มีแล้วก็หามีไม่ ...
ขออนุโมทนาค่ะ
วันที่รอคอยเมือไหร่หนอเราจะได้คิดถึงความหลังแบบท่านพระภัททิยะบรรลุเป็นพระ อรหันต์ ท่านก็คิดถึงความหลังว่าในอดีตท่านเป็นพระราชาแม้อยู่บนปราสาทมีทหาร คอยรักษา แต่ก็ยังหวาดสะดุ้งกลัว แต่มาบัดนี้แม้เราจะอยู่ที่โคนไม้ไม่มีใครรักษาก็ไม่มี ความหวาดสะดุ้งกลัวอีก เพราะเราสิ้นกิเลสแล้ว แล้วเปล่งอุทานว่า สุขหนอ สุขหนอ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกขณะของชีวิต เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดแล้วดับไป ไม่มีเหลือ สิ่งที่เป็นประโยชน์คือ ศึกษาเพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ที่หาความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลไม่ได้เลย ว่างจากความเที่ยง ว่างจากความสุขว่างจากความเป็นตัวตน ไม่มีอะไรที่ควรจะยึดถือว่าเป็นเรา หรือ เป็นของเราเลย บุคคลมีอัธยาศัยที่แตกต่างกันตามการสะสม เมื่อยังเป็นผู้ที่มีกิเลสอยู่ ย่อมจะมีบ้างที่ทำในสิ่งที่ไม่ดี ไม่สมควร บางทีถึงกับเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น แต่ก็ไม่ใช่ว่าความดีของบุคคลนั้นจะไม่มีเอาเสียเลย ย่อมมีทั้งดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แล้วแต่ว่าอย่างไหนจะมากกว่ากัน
จึงไม่ควรคำนึงถึงส่วนที่ไม่ดีของเขา เพราะขณะนั้นจิตย่อมเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ควรนึกถึงเฉพาะส่วนที่ดีของเขา ขณะที่นึกถึงความดีของผู้อื่นนั้น เป็นกุศล เป็นความดี, บุคคลผู้ที่เห็นโทษว่าเป็นโทษ ทำผิดแล้วขอโทษ และ ผู้ที่ยกโทษให้เมื่อผู้อื่นขอโทษ บุคคลทั้งสองจำพวกนี้ เป็นบัณฑิต ดังนั้น การให้อภัยจึงเป็นเรื่องไม่ยากสำหรับผู้ที่เข้าใจความจริง ผู้พร้อมที่จะให้อภัยเสมอแม้ว่าบุคคลนั้นจะคิดร้าย มุ่งร้าย ประทุษร้ายต่อตนเองก็ตาม ย่อมเป็นผู้มีหน้าทีที่สำคัญ คือ อดทน ไม่โกรธ ไม่ประทุษร้ายตอบ แต่ก็ยากมากสำหรับผู้ที่ไม่ได้สะสมมา ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริง พระธรรมเท่านั้นที่จะเกื้อกูลได้ ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านครับ ...
คุณวรรณี// ก็ใคร่ที่จะเป็นอย่างคุณวรรณีว่า แต่เมื่อไรล่ะจะถึงวันนั้น ทุกวันก็สะดุ้งทุกวันว่าอกุศลมากมายเหลือเกิน แต่ก็ไม่ท้อนะ อ้อบางทีก็ท้อเหมือนกันแต่พอฟังพระธรรมก็สะดุ้งขึ้นมาก็มีวิธีเดียวคือพยายามฟังและอบรมต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวิธีอื่นเลยจริงๆ คุณวรรณีว่าเป็นอย่างที่ว่าไหม