ศึกษาอย่างไร...จึงจะ ไม่มีเรา !
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรม ที่เขาเต่า ๑-๔ สิงหาคม ๒๕๓๗
ท่านอาจารย์ "ลักษณะร้อน" เป็นอะไร สภาพธรรม มี ๒ อย่างคือ "นามธาตุ" และ "รูปธาตุ" ขณะที่ ท่านผู้ฟัง กำลังจับกาน้ำ ที่ร้อน ขณะนั้น "ลักษณะที่ร้อน" ก็อย่างหนึ่ง "ลักษณะที่แข็ง" ก็อย่างหนึ่ง แล้วแต่ ว่าร้อน หรือ แข็ง จะปรากฏให้รู้ได้ (ทีละ ขณะ ไม่พร้อมกัน) "ลักษณะ" ที่ปรากฏ ให้รู้ได้มี ๒ อย่าง คือ ถ้าไม่ใช่ "นามธรรม" (สภาพรู้อารมณ์) ก็ต้องเป็น "รูปธรรม" (สภาพที่ไม่รู้อารมณ์) "ลักษณะ ทั้ง ๒ อย่าง" นี้ (นามธรรม และ รูปธรรม) จะปราศจากกันไม่ได้เลย เพราะเหตุนี้เกือบจะทำให้ แยกกันไม่ออก แต่ โดยมาก เราไป รู้ "ชื่อ"มากกว่า ที่จะ รู้ "ลักษณะ" คือ รู้ เพียงว่า แข็ง เป็น รูป และ การรู้แข็ง เป็น นาม จึง ไม่ได้ รู้จริงๆ ตรง "ลักษณะ" ของ "สภาพแข็ง" และ "สภาพที่รู้แข็ง" ว่า ต่างกัน อย่างไร
เพราะฉะนั้น ต้อง "เข้าใจ" ก่อน ว่าเมื่อ นามธรรม และ รูปธรรมปราศจากกันไม่ได้ ก็ ต้อง ค่อยๆ ระลึก รู้ ตรง "ลักษณะ" ไม่ว่าจะเป็น "ลักษณะแข็ง" ที่กำลังปรากฏหรือ "ลักษณะที่รู้แข็ง" ที่กำลังปรากฏ เช่นเดียวกับ "ลักษณะร้อน" และ "ลักษณะที่รู้ร้อน" หมายความว่า "สภาพร้อน" ไม่รู้อะไรเลย แต่ ขณะใด ที่ "ลักษณะร้อน" ปรากฏ ขณะนั้นกำลังมี "สภาพที่รู้ร้อน" .. "ลักษณะร้อน" จึงปรากฏ ได้ เช่น "ลักษณะแข็ง" ถ้าหาก ท่านผู้ฟัง ไม่มี "การกระทบสัมผัส" ทางกายท่านผู้ฟัง ก็ไม่รู้ ว่า มี "ลักษณะที่แข็ง" ทั้งๆ ที่ มองเห็น ก็ไม่รู้ "ลักษณะแข็ง" แต่ เมื่อใด ที่ "กระทบสัมผัสแข็ง" ทางกาย เมื่อนั้น "ลักษณะที่แข็ง" ก็จะปรากฏ ทันที เพราะเหตุ ว่ามี "สภาพที่รู้แข็ง" และ "ลักษณะที่รู้" นี้เอง คือ "จิต" ซึ่ง เป็นใหญ่ เป็นประธานในการ "รู้แจ้งอารมณ์"
เพราะฉะนั้น "ความรู้สึกร้อน" เป็น "นามธรรม" หรือ "นามธาตุ" แต่ "ความร้อน" เป็น "รูปธรรม" หรือ "รูปธาตุ" ยังไงก็ตามแต่ สภาพธรรม มี ๒ อย่างคือ นามธรรม และ รูปธรรม ซึ่งจะต้อง ค่อยๆ "เข้าใจ" มากขึ้นๆ จึงจะสามารถที่จะ "รู้ชัด" ได้จริงๆ จนกว่า จะ "เข้าใจ" จนกระทั่ง ถึงความ "ไม่มีเรา" ความยาก ความละเอียด อยู่ตรงนี้ ซึ่ง ตราบใด ที่ยัง "ไม่รู้ชัด" ใน "ลักษณะ" ของ นามธรรม และ รูปธรรม ตราบนั้น "ความเป็นเรา" ก็ ยัง แฝง อยู่
เพราะฉะนั้นจึงต้องอบรมเจริญ "สติ" กับ "ปัญญา" เพื่อที่จะ ค่อยๆ ระลึก ตรง "ลักษณะ" ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ตามปกติ ตามความเป็นจริง และ คำ ว่า "ศึกษา" ที่นี้ หมายความว่า ไม่ใช่ การ "นึกถึง" เรื่องราว ชื่อ บัญญัติ แต่ เป็น "ความเพียร" ที่จะ "เข้าใจลักษณะ" ของ สภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ตามปกติ ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน
... ขออนุโมทนา ...
ตราบใด ที่ยัง "ไม่รู้ชัด" ใน "ลักษณะ" ของ นามธรรม และ รูปธรรม ตราบนั้น "ความเป็นเรา" ก็ ยัง แฝง อยู่
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ศึกษาจนในขณะปรกติ ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ไม่มีเพื่อน ไม่มีกุศล ไม่มีอกุศล มีแต่วิบากจิตและกริยาจิต มีแต่จิตเจตสิกรูป แล้วจะเป็นอย่างที่ว่าได้ไหม ลืมตาก็มีเราแล้วเพราะอัตตสัญญาอันมั่นคง ครับ
การอบรมเจริญปัญญา ต้องรู้ทั่ว ถ้าไม่รู้ทั่วย่อมจะละกิเลสไม่ได้ ดังนั้น จะรู้เพียงนามอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรู้สิ่งที่ปรากฏทุกอย่าง ครับ
คำ ว่า "ศึกษา" ที่นี้ หมายความว่า ไม่ใช่ การ "นึกถึง" เรื่องราว-ชื่อ-บัญญัติ แต่ เป็น "ความเพียร" ที่จะ "เข้าใจลักษณะ" ของ สภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ตามปกติ ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน พระธรรมเป็นของยาก ลึกซึ้ง ค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง โดยไม่ใช่ คิดเอาเอง และ ไม่ใช่ การ "นึกถึง" เรื่องราว-ชื่อ-บัญญัติ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ข้อความบางตอน
ท่านอาจารย์ ขณะนั้น ให้ค่อยๆ เข้าใจ ในความต่างของนามธรรม และรูปธรรม ที่ปรากฏก่อนถ้ายังปะปนกัน ระหว่าง นามธรรม และรูปธรรมขณะนั้น ก็ยังมีเรา ยังเป็นเราและถ้าเพียงเป็นความเข้าใจโดยชื่อ หรือโดยเรื่องราวก็ยังไม่ใช่ การรู้ลักษณะที่แยกขาดจากกันจริงๆ ระหว่าง นามธรรม และ รูปธรรม จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นคือ เข้าใจ "ลักษณะ" ที่เป็นรูปธรรม ที่ไม่ใช่สภาพรู้ และเข้าใจ "ลักษณะ" ที่เป็นนามธรรม ที่เป็นสภาพรู้สภาพรู้ ซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธาน เป็นมนินทรีย์ในขณะที่รูปใด รูปหนึ่ง กำลังปรากฏ ค่อยๆ อบรมไป จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง เป็นปัญญาระดับ "นามรูปปริจเฉทญาณ" ขณะนั้น หมายถึง ขณะที่สภาพธรรมปรากฏโดยความเป็นธาตุ ... ที่ไม่ใช่เรา.
... ขออนุโมทนา ...
ขอเชิญอ่านรายละเอียดที่นี่ค่ะ
นามรูปปริจเฉทญาณ.
ถึงนิพพิทาญาณไม่ได้ ถ้าไม่ถึง นามรูปปริจเฉทญาณ.
วิปัสสนาญาณที่ ๑-นามรูปปริจเฉจทญาณ