ขณะที่หิวข้าว มีรูปปรมัตถธรรมอะไรปรากฏครับ

 
bom8813
วันที่  26 มิ.ย. 2552
หมายเลข  12763
อ่าน  2,006
ขณะที่หิวข้าว มีสภาพหิวปรากฎขึ้นให้จิตรู้ แต่สภาพหิวไม่ใช่ปรมัตถธรรม

ดังนั้นจึงสงสัยครับว่ารูปปรมัตถธรรมอะไรปรากฏครับ

  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 26 มิ.ย. 2552
ขณะที่หิวข้าว มีความจริงคือ สภาพหิว รูปหิวไม่ได้ หิวเป็นนามธรรมคือ ขณะนั้นรู้สึกไม่สบายทางกาย ดังนั้นสภาพหิวจึงเป็นปรมัตถธรรมถ้าแสดงปรมัตถธรรมโดยละเอียดแยกเป็นขณะจิตแล้ว ขณะที่จิตมีนามธรรมเป็นอารมณ์ ขณะนั้นจิตไม่มีรูปเป็นอารมณ์ แต่ถ้าจะกล่าวโดยรวมทุกขณะในชีวิตประจำวันมีทั้งรูปธรรมและนามธรรม เพราะตั้งแต่เริ่มแรกเกิดมีทั้งรูปและนามเกิดขึ้นพร้อมกัน หลังจากนั้นนามและรูปก็มีการเกิดสืบต่อมาเรี่อยๆ จนกว่าจะสิ้นชีวิต เพราะฉะนั้นขณะหิวก็มีทั้งรูปและนาม แต่จิตจะมีอะไรเป็นอารมณ์ เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีรายละเอียดอยู่มากครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ประสาน
วันที่ 26 มิ.ย. 2552

สภาพหิวเป็นนามธรรม แต่เมื่อสภาพหิวถูกจิตรู้ (สภาพหิว) ขณะนั้นสภาพหิวกลายเป็นรูปธรรม เพราะถูกจิตรู้ (นามธรรมกลายเป็นรูปธรรม รูปธรรมกลายเป็นนามธรรม เช่น ขณะที่ตื่นเป็นนามธรรม ขณะที่หลับ (สนิทจริงๆ ) เป็นรูปธรรม หรือ ขณะฟังเสียงคนอื่นเป็นนามธรรม เพราะรู้เสียง แต่ขณะที่พูดกลายเป็นรูป เพราะถูกคนอื่นรู้เสียงที่พูด) เจริญธรรม ขออนุโมทนาด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
พุทธรักษา
วันที่ 27 มิ.ย. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 12763 ความคิดเห็นที่ 2 โดย ประสาน

สภาพหิวเป็นนามธรรม แต่เมื่อสภาพหิวถูกจิตรู้ (สภาพหิว) ขณะนั้นสภาพหิวกลายเป็นรูปธรรม เพราะถูกจิตรู้ (นามธรรมกลายเป็นรูปธรรม รูปธรรมกลายเป็นนามธรรม เช่น ขณะที่ตื่นเป็นนามธรรม ขณะที่หลับ (สนิทจริงๆ ) เป็นรูปธรรม หรือ ขณะฟังเสียงคนอื่นเป็นนามธรรม เพราะรู้เสียง แต่ขณะที่พูดกลายเป็นรูป เพราะถูกคนอื่นรู้เสียงที่พูด) เจริญธรรม ขออนุโมทนาด้วยครับ

(นามธรรมกลายเป็นรูปธรรม รูปธรรมกลายเป็นนามธรรม) เป็นไปไม่ได้ ค่ะ.
หิว เป็น นามธรรมสิ่งที่จิตรู้ เป็นนามธรรมก็ได้ เป็นรูปธรรมก็ได้ไม่ได้หมายความว่าจิตรู้เฉพาะ รูปธรรมเท่านั้น
ขณะที่หิวจิต-เจตสิก เป็น สภาพรู้ คือ รู้สึกหิวรูป เป็น ปัจจัย ให้เกิด สภาพหิว.
หมายความว่า
มีร่างกาย (กลุ่มของรูป) ....จึงเป็น "เหตุปัจจัย" ให้ รู้สึกหิวเพราะมีรูป ที่เรียกว่า ร่างกาย (ที่ยังมีชีวิต) จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด สภาพหิว.
แต่ โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ เป็นรูปที่ไม่มีใจครอง (ไม่มีชีวิต) ...ไม่หิวฉะนั้น "หิว"ไม่ใช่รูป...แต่ รูป เป็นปัจจัยให้เกิด "หิว"
ขณะ หลับสนิท ขณะนั้น จิต รู้ "อารมณ์ที่ไม่ปรากฏ" เรียกจิตประเภทนี้ ว่า "ภวังคจิต"
อารมณ์ที่ไม่ปรากฏคือ อารมณ์ที่ ไม่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เราจึงไม่รู้อารมณ์ขณะที่หลับ เพราะเป็นอารมณ์ที่ไม่ปรากฏ...แต่ ต้อง มีขณะที่หลับสนิท เป็น จิต คือ สภาพรู้ที่รู้อารมณ์ แต่ไม่ใช่อารมณ์ของชาตินี้

เพราะ จิต ทำงานตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด.

ส่วนขณะที่ตื่นเช่น เห็น ได้ยิน
หรือ ฟังเสียงคนอื่น เป็นต้นขณะนั้น...กล่าวโดยปรมัตถ์ไม่พ้นไปจาก การทำงาน ของ จิต เจตสิก และรูปโดยการเป็นปัจจัย ในการเกิด-ดับ สืบต่อเพราะ จิต เจตสิก รูป จะปราศจากกันไม่ได้และ จะต้องรู้ อารมณ์ที่ปรากฏ ทางตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ละอย่าง เท่านั้น

ถ้าไม่มี จิต....เจตสิก ก็ไม่เกิดถ้าไม่มี เจตสิก....จิต ก็ไม่สามารถเกิดได้
ส่วน รูป เป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น และ รู้ได้ เมื่อรูปปรากฏกับจิตแต่รูป ไม่มีรู้อะไรเลย.

หมายความว่า รูป เป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกเช่น เสียง สี แข็ง อ่อน เป็นต้นรูป ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย...รูปจึงกลายเป็นนาม ไม่ได้.


นาม รู้ นาม ได้นาม รู้ รูป ได้แต่ รูป รู้นามไม่ได้.

เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียดจาก หนังสือ ปรมัตถธรรมสังเขป.

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
narong.p
วันที่ 27 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 27 มิ.ย. 2552

สัตว์โลกดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ในภูมิที่มีขันธ์ 5 รูปดำรงอยู่ได้ต้องอาศัย 4 อย่างคือ

กรรม จิต อุตุ อาหาร ความหิวเป็นนามธรรมเป็นความรู้สึกมีเวทนาเกิดร่วมด้วยมีจิตและ

เจตสิกเกิดดับอย่างรวดเร็ว ถ้าหิวมากก็ทุกขเวทนาก็มาก ถ้าหิวน้อยทุกขเวทนาก็น้อย

ถ้าไม่มีอาหาร รูปก็ย่อยยับแตกสลายไป นามธรรมก็ดับไปด้วย อาหารจึงชื่อว่าหนึ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ประสาน
วันที่ 27 มิ.ย. 2552

เนื่องจากความเห็นที่ 3 นามรู้นามได้ นามรู้รูปได้ แต่รูปรู้นามไม่ได้ ถูกต้องทุกประการ เห็นด้วยทุกประการ แต่ขออนุญาตเรียนถามว่านามรู้นามได้ แล้วที่บอกว่ามี่แต่นามรูปเกิดดับตลอดชีวิต ในเมื่อนามรู้นาม แล้วรูปในขณะนั้นอยู่ที่ไหน (เมื่อจิตรู้จะต้องมีสิ่งที่ถูกรู้คือรูป แล้วรูปอยู่ที่ไหนขณะที่รู้จะระลึกรู้ได้อย่างไรถ้านามยังเป็นนามอยู่ กรุณาช่วยอธิบายให้รู้ด้วย ขอขอบคุณครับ แต่สำหรับความเห็นผมยังคงเหมือนเดิมว่า นามรู้นามถูกต้อง แต่นามตัวแรกคือจิตรู้ นามตัวหลังคือนามที่ดับแล้วก็เปลี่ยนเป็นรูปก่อนที่นามที่ดับแล้วหายไป ถ้าไม่ใช่เช่นนี้แล้วจะมีรูปนามเกิดดับตลอดชีวิตได้อย่างไร ก็ต้องมี่นามกับนามเกิดดับ และหรือรูปกับนามเกิดดับ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึง ก็คงขัดแย้งกับคำสอนขององค์สมเด็จพระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า มีแต่รูปกับนามที่เกิดดับ เจริญ

ธรรม)

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kulwilai
วันที่ 27 มิ.ย. 2552

ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้ารู้ลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏ แม้ในขณะนี้ ธรรมจึงไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องรอให้เวลาที่รู้สึกหิวปรากฏ หรือจะรู้ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ขณะนี้มีเห็นและมีสิ่งที่ถูกเห็น มี ได้ยินและมีเสียงที่ปรากฏ สภาพที่คิดก็ มี นามธรรมเป็นสภาพรู้เป็นอาการรู้ ไม่ใช่เราชั่วขณะที่รู้ตรงลักษณะธรรมที่กำลังปรากฏ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
พุทธรักษา
วันที่ 27 มิ.ย. 2552

เรียน คุณ ประสานโปรดพิจารณา ข้อความที่ท่านอาจารย์สุจินต์ ได้กรุณา อธิบาย ไว้แล้วขอเชิญท่าน อ่าน จาก
.
.
.
กระทู้นี้ ...............................
ปล.ขออภัยนะคะ...ที่ไม่สามารถ ตอบท่านได้ ด้วยตัวเองเพราะ ข้าพเจ้า ไม่มีความสามารถ ที่จะอธิบาย อย่างละเอียดได้.

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Komsan
วันที่ 28 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 29 มิ.ย. 2552

ความคิดเห็นที่ 6

"....แต่ขออนุญาตเรียนถามว่านามรู้นามได้ แล้วที่บอกว่ามี่แต่นามรูปเกิดดับตลอด

ชีวิต ในเมื่อนามรู้นาม แล้วรูปในขณะนั้นอยู่ที่ไหน..."

รูปแต่ละประเภทก็ยังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยค่ะ................เพียงแต่รูปไม่ได้เป็น

"อารมณ์ของจิต" ในขณะนั้นค่ะ

"...แต่สำหรับความเห็นผมยังคงเหมือนเดิมว่า นามรู้นามถูกต้อง แต่นามตัวแรกคือจิตรู้

นามตัวหลังคือนามที่ดับ แล้วก็เปลี่ยนเป็นรูปก่อนที่นามที่ดับแล้วหายไป..."

นามและรูปเป็นปรมัตถธรรม คือ คงไว้ซึ่งสภาวลักษณะของตนๆ ไม่เปลี่ยนแปลงไป

เป็นอย่างอื่น นามและรูปแต่ละประเภท ก็คงไว้ซึ่งสภาวลักษณะของตนๆ อย่างนั้น ไม่

เปลี่ยนแปลงค่ะ

"...ถ้าไม่ใช่เช่นนี้แล้วจะมีรูปนามเกิดดับตลอดชีวิตได้อย่างไร ก็ต้องมี่นามกับนามเกิด

ดับ และหรือรูปกับนามเกิดดับ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึง..."

ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ทั้งนามและรูปต่างก็ทยอยกันเกิดทยอยกันดับ ตามสมุฏฐานของนาม

และรูปนั้นๆ ค่ะ.........ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Sam
วันที่ 29 มิ.ย. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 12763 ความคิดเห็นที่ 6 โดย ประสาน

เนื่องจากความเห็นที่ 3 นามรู้นามได้ นามรู้รูปได้ แต่รูปรู้นามไม่ได้ ถูกต้องทุกประการเห็นด้วยทุกประการ แต่ขออนุญาตเรียนถามว่านามรู้นามได้ แล้วที่บอกว่ามี่แต่นามรูปเกิดดับตลอดชีวิต ในเมื่อนามรู้นาม แล้วรูปในขณะนั้นอยู่ที่ไหน (เมื่อจิตรู้จะต้องมีสิ่งที่ถูกรู้คือรูป แล้วรูปอยู่ที่ไหนขณะที่รู้จะระลึกรู้ได้อย่างไรถ้านามยังเป็นนามอยู่ กรุณาช่วยอธิบายให้รู้ด้วย ขอขอบคุณครับ แต่สำหรับความเห็นผมยังคงเหมือนเดิมว่า นามรู้นามถูกต้อง แต่นามตัวแรกคือจิตรู้ นามตัวหลังคือนามที่ดับแล้วก็เปลี่ยนเป็นรูปก่อนที่นามที่ดับแล้วหายไป ถ้าไม่ใช่เช่นนี้แล้วจะมีรูปนามเกิดดับตลอดชีวิตได้อย่างไร ก็ต้องมี่นามกับนามเกิดดับ และหรือรูปกับนามเกิดดับ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึง ก็คงขัดแย้งกับคำสอนขององค์สมเด็จพระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า มีแต่รูปกับนามที่เกิดดับ เจริญ

ธรรม)


ขออนุญาตสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อความเข้าใจทีถูกต้องตรงตาม

ที่ทรงแสดงไว้ครับ

ธัมมะที่เป็นสภาพรู้คือนามธรรมเท่านั้นครับ รูปเป็นสภาพที่รู้อะไรไม่ได้เลย

อย่างไรก็ดี ทั้ง รูป และ นาม เป็นสภาพที่ถูกรู้ได้ครับ ไม่ใช่เฉพาะรูปเท่านั้นที่

จะถูกรู้ได้ โดยขณะที่รูปหรือนามเป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ เรียกว่าเป็นอารมณ์ของจิต (ขณะที่

นามเป็นอารมณ์ของจิต นามธรรมนั้นเป็นธรรมารมณ์)

นามธรรมเป็นอารมณ์ของจิตได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนเป็นรูปก่อนครับ เพราะปรมัต-

ถธรรมทั้งหลายเป็นอภิธรรม เป็นธัมมะที่ยิ่งใหญ่เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยน-

แปลง เมื่อเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่แล้วก็ดับไปทันทีไม่มีเหลือ ไม่กลับมาอีกเลย และไม่

กลับมาเป็นอย่างอื่นอีกเลย ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนสภาพธรรมได้เลยครับ (แม้แต่

พระผู้มีพระภาค)

ในภูมิที่มีขันธ์ห้านั้น ในขณะที่นามรู้นาม นามที่เป็นสภาพรู้นั้นเกิดที่รูปที่ยังไม่ดับ

ครับ จึงไม่เป็นการขัดกับคำสอนว่าตลอดชีวิตทุกขณะมีแต่รูปและนามที่เกิดดับ เพราะ

ขณะนั้นก็มีทั้งนามและรูป แต่ขณะที่นามรู้นามนั้น รูปไม่อาจปรากฎได้ เพราะใน

ขณะจิตหนึ่งมีอารมณ์ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ปริศนา
วันที่ 29 มิ.ย. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
bom8813
วันที่ 1 ก.ค. 2552
จากความเห็นที่ 1 ที่พี่บอกว่า สภาพหิวเป็นปรมัตถธรรม ดังนั้นถ้าสติเกิดระลึกรู้

ลักษณะของสภาพหิวในขณะนั้นก็สามารถใช้เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาในขณะนั้น

ได้ไหมครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
prachern.s
วันที่ 1 ก.ค. 2552

ได้ครับ ถ้าสภาพหิวปรากฏ สติสัมปชัญญะย่อมรู้ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
Sam
วันที่ 1 ก.ค. 2552

สภาพหิวเป็นปรมัตถธรรม เมื่อสภาพหิวปรากฎย่อมเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานได้

แต่ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม หรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็รู้สภาพหิวได้ แล้วการรู้สภาพ

หิวเช่นนี้ ต่างจากการรู้ด้วยสติสัมปชัญญะอย่างไร?

ความแตกต่างก็คือ... สติปัฏฐานหรือสติสัมปชัญญะ เป็นสภาพรู้ที่ระลึกพร้อมด้วย

ปัญญา รู้สภาพหิวโดยความเป็นธรรมะ (โดยไม่ต้องใส่ชื่อเรียกว่าหิวหรือคำอื่นในภาษา

อื่นเลย) และหิวก็คือหิว เมื่อปรากฎแล้วมีลักษณะเช่นนั้น ไม่ใช่เราหิว ไม่ใช่ความหิว

ของเรา ที่สำคัญ บังคับบัญชาสภาพหิวไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยหิวก็เกิด เมื่อปัจจัยหมด

ไปหิวก็ดับไป

ส่วนการรู้หิวของผู้ไร้ปัญญา หรือของสัตว์ เป็นการรู้ด้วยความเป็นตัวตนว่าเราหิว

เราอยากจะอิ่ม และด้วยความยึดมั่นในความเป็นตน ความรักตน ก็อาจนำไปสู่การล่วง

อกุศลประการต่างๆ ได้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
ทรงศักดิ์
วันที่ 2 ก.ค. 2552

ขณะที่รู้สึกหิว........

อาจได้ยินเสียงท้องร้อง (เสียง เป็นรูป) ..ปวดท้องและอื่นๆ มีทุกขเวทนา (นาม) หรือความไม่สบายทางกายเกิดขึ้น

เมื่อได้ยินเสียงท้องร้อง หรือ รู้สึกถึงความไม่สบายทางกายในขณะนั้น ทำให้รู้ได้ว่าหิว ถึงเวลาที่ต้องหาอาหารใส่ท้องแล้วครับ

ปกติ เมื่อรู้หิว ก็รู้ทางมโนทวารที่มีบัญญัติอารมณ์ว่า หิวแล้ว ด้วยความมีตัวตนว่าเรา เขาหิว

หากขณะหิว มีสติเกิดขึ้นระลึก รู้เสียง หรือทุกขเวทนา ที่ปรากฎในขณะนั้นได้ในขณะนั้น สติปัฏฐานเกิดครับ

เสียงท้องร้อง หรือทุกขเวทนา ขณะที่หิว เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานได้ แต่ในขณะนั้น ก็มีปรมัตถธรรม (รูปและ นาม) หลายอย่างที่เกิดขึ้น และสามารถปรากฏเป็นอารมณ์แก่สติได้ ไม่อาจบังคับบัญชาให้สติเกิดขึ้น และรับรู้อารมณ์ ตามต้องการได้ครับ

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ