ความจริงแห่งชีวิต [133] ความต่างของจิตโดยประเภท อสังขาริก และ สสังขาริก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การจำแนกความต่างกันของจิตโดยประเภทอสังขาริก และสสังขาริกนั้นแสดงให้เห็นว่า แม้กุศลจิต หรืออกุศลจิต หรือวิบากจิต หรือกิริยาจิต ซึ่งเกิดร่วมกับเจตนาเจตสิกนั้นก็ยังต่างกันออกไปโดยประเภทที่เป็นอสังขาริกบ้าง และเป็นสสังขาริกบ้าง ในอัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ มีข้อความอธิบายว่า ชื่อว่า สสังขาร เพราะเป็นไปกับด้วยสังขาร (เครื่องชักจูง) สังขารในที่นี้หมายความถึงชักจูงด้วยตนเอง หรือผู้อื่นชักจูง หรือสั่งให้กระทำ นี่เป็นสภาพจิตในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกุศล หรืออกุศลก็ตาม บางครั้งก็เกิดขึ้นเองโดยอาศัยการสะสมมาในอดีต เป็นปัจจัยแรงกล้าที่ทำให้กุศล หรืออกุศลประเภทหนึ่งประเภทใดมีกำลังเกิดขึ้นเอง ไม่ต้องอาศัยการชักจูงใดๆ เลย สภาพจิตที่เกิดโดยไม่อาศัยการชักจูงนั้นเป็นอสังขาริก คือ ไม่อาศัยการชักจูง แต่ว่าบางครั้งบางขณะไม่ว่าจะเป็นกุศล หรืออกุศลก็ตามที่เกิดขึ้นนั้น มีกำลังอ่อน เกิดขึ้นได้เพราะอาศัยการชักจูงของตนเอง หรือการชักจูงของบุคคลอื่นก็ได้ อกุศล และกุศลที่มีกำลังอ่อนที่อาศัยการชักจูงนั้นเป็นสสังขาริกจิต
นี่ก็แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นกุศล หรืออกุศลก็ยังต่างกัน บางขณะเป็นกุศล หรืออกุศลที่มีกำลังแรง เกิดขึ้นโดยมีการสะสมของตนเองเป็นปัจจัย และบางครั้งบางขณะก็เป็นกุศล หรืออกุศลที่มีกำลังอ่อน ต้องอาศัยการชักจูงของตนเอง หรือการชักจูงของบุคคลอื่นจึงเกิดขึ้นได้
บางครั้งอกุศลจิตมีกำลังเกิดขึ้นทันทีตามการสะสมที่พอใจ หรือไม่พอใจอารมณ์ขณะนั้น แต่บางครั้งไม่เป็นอย่างนั้น เช่น ไม่ค่อยอยากไปดูหนัง หรือละคร แต่เมื่อญาติพี่น้องเพื่อนฝูงชวนก็ไป จิตในขณะนั้นอยากจะไป หรือเปล่า ไปดูก็ได้ไม่ดูก็ดี แต่เมื่อมีใครชวนก็ไป ถ้าลำพังคนเดียวก็ไม่ไป หรือบางครั้งก็นึกว่าหนังเรื่องนี้ก็คงจะสนุกน่าดู ก็อยากจะไปเหมือนกัน แต่ไม่ไปเพราะว่ายังไม่มีกำลังกล้าถึงกับจะไปทันที ชีวิตประจำวันจริงๆ นั้นรู้ได้ว่า ขณะใดเป็นจิตที่มีกำลังกล้า หรือขณะใดเป็นจิตที่มีกำลังอ่อน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอกุศลที่เป็นโลภะ โทสะ หรือฝ่ายกุศลก็ตาม บางคนเมื่อทราบข่าวว่ามีการทอดกฐินก็อยากจะไปทันที และชักชวนคนอื่นไปด้วย แต่บางคนนั้นถึงแม้ว่าจะถูกชักชวนแล้ว แต่ถ้าคนนี้ไม่ไปคนนั้นไม่ไปก็ไม่ไปด้วย ฉะนั้น สภาพของกุศลจิต และอกุศลจิตก็มีกำลังต่างกัน ตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้น แม้ว่าจะมีเจตสิกประกอบเท่ากันก็ตาม
โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จัดพิมพ์เผยแพร่ โดย คณะกรรมการ ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา ครบ ๗๕ พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕
ขอเชิญอ่าน หรือดาวน์โหลดหนังสือ ...
ขอเชิญอ่านตอนต่อไป ...
เพราะฉะนั้น แม้ว่า "สภาพของจิต" จะเป็น กุศลธรรม หรืออกุศลธรรม ก็ยังมี "ความต่าง" (โดยกำลัง) จิตบางขณะ ก็เป็นกุศลธรรม หรืออกุศลธรรม ที่มีกำลังแรง ซึ่งเกิดขึ้นโดยการสั่งสมของจิตของบุคคลนั้นเองเป็นปัจจัย
จิตบางขณะ ก็เป็นกุศลธรรม หรืออกุศลธรรม ที่มีกำลังอ่อน ซึ่งต้องอาศัยการชักจูงของตนเอง หรือการชักจูงของบุคคลอื่นเป็นปัจจัย จึงสามารถเกิดขึ้นได้
บางครั้ง อกุศลจิตมีกำลัง เกิดขึ้นทันทีตามการสั่งสม เช่น จิตของแต่ละบุคคลมีการสั่งสมมาที่จะพอใจ หรือไม่พอใจ ในอารมณ์ที่กำลังปรากฏขณะนั้นๆ แต่บางครั้งก็ไม่เป็นเช่นนั้น เช่น ไม่ค่อยอยากไปดูหนัง หรือดูละคร แต่เมื่อญาติมิตรชวนไปดู จิตในขณะนั้นอยากไป หรือเปล่า ไปดูก็ได้ ไม่ดูก็ดี แต่เมื่อมีใครชวนไป ก็ไป ถ้าลำพังคนเดียวก็ไม่ไป หรือบางครั้งก็นึกว่า หนัง หรือละครเรื่องนี้ก็คงจะสนุกน่าดู ก็อยากจะไปเหมือนกัน แต่ไม่ไปทันที เพราะว่าจิตไม่มีกำลังแรงกล้าถึงกับจะไปทันที เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวันจริงๆ ถ้าพิจารณาก็จะทราบว่า ขณะใดเป็นจิตที่มีกำลังแรงกล้า ขณะใดเป็นจิตที่มีกำลังอ่อน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอกุศลธรรม เช่น โลภะ โทสะฯ หรือฝ่าย กุศลธรรม เช่น อโลภะ อโทสะฯ เช่น บางคนเมื่อทราบข่าวว่า จะมีการทอดกฐินก็อยากจะไปทันที และยังชักชวนผู้อื่นไปด้วย แต่บางคนนั้น ถึงแม้ว่าจะถูกชักชวนแล้ว แต่ถ้าคนนี้ไม่ไป หรือคนนั้นไม่ไป ก็ไม่ไป
ฉะนั้น แสดงว่าสภาพของจิต คือ กุศลจิต และอกุศลจิต แต่ละขณะนั้นมีกำลังต่างกันตามเหตุตามปัจจัยซึ่ง "ปรุงแต่ง" ให้เกิดขึ้นเป็นไปเช่นนั้น แม้ว่าจิตขณะนั้นๆ จะมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเท่ากันก็ตาม
พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดง "สภาพจิต" ซึ่งเป็นอสังขาริกจิต และสสังขาริกจิต เพื่อให้เข้าใจถึง "ความละเอียดของจิต" ว่าแม้เป็นจิตที่มีจำนวนเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเท่ากัน แต่ "สภาพของจิต" ก็ต่างกันโดยเป็นอสังขาริกจิต และสสังขาริกจิต ตาม "กำลังของเจตสิก" ที่เกิดร่วมด้วย
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศล แด่ คุณพ่อ คุณแม่ และสรรพสัตว์