ความจริงแห่งชีวิต [148] การสั่งสมสืบต่อของอกุศลธรรม ในวันหนึ่งๆ มากมาย
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในอดีตกาลนานมาแล้วในชาติก่อนๆ บางท่านอาจจะเป็นผู้ที่เคยสนใจธรรม อาจจะเป็นผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรม หรืออาจจะถึงกับบรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุสามเณร แต่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้น ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในเพศใด ในเพศบรรพชิตหรือฆราวาส ทุกคนจะต้องอบรมเจริญปัญญา รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงทุกๆ ชาติ จนกว่าจะถึงชาติที่ปัญญาคมกล้า สามารถแทงตลอดอริยสัจจธรรมได้ และแม้ว่าในกาลครั้งหนึ่งอาจจะเคยสนใจธรรม ฝักใฝ่ในการศึกษาในการปฏิบัติธรรม แต่ก็อย่าลืมว่ากว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็ยังมีอกุศลที่สะสมมามากมายหนาแน่น ที่จะทำให้หลงไปเพลินไปในอกุศลได้ถ้าเป็นผู้ที่ประมาท ฉะนั้น ถึงแม้ว่าปฏิสนธิจิตจะเป็นติเหตุกะ แต่เมื่อใดเป็นผู้ประมาท ปัญญาเจตสิกในชาตินั้นก็จะไม่เจริญขึ้น เพราะไม่ได้อบรมด้วยการฟัง ด้วยการพิจารณา และด้วยการปฏิบัติธรรม ฉะนั้น ก็น่าเสียดายชาติซึ่งปฏิสนธิจิตเป็นติเหตุกะ แต่ไม่ได้อบรมปัญญาให้เจริญขึ้น และชาติต่อไปนั้นกรรมใดจะทำให้ปฏิสนธิจิตประเภทใดเกิดก็ไม่แน่ อาจจะเป็นอกุศลวิบากจิต ทำกิจปฏิสนธิในอบายภูมิ หรืออเหตุกุศลวิบากจิต ทำกิจปฏิสนธิเป็นบุคคลพิการตั้งแต่กำเนิด หรือทวิเหตุกกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิเป็นทวิเหตุกบุคคลในสุคติภูมิ ซึ่งไม่อาจอบรมเจริญปัญญาให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
ฉะนั้น จึงน่าเสียดายแต่ละภพแต่ละชาติที่ไม่ได้อบรมปัญญาให้เจริญยิ่งขึ้น และถึงแม้ว่าจะเป็นติเหตุกปฏิสนธิ แต่เมื่ออบรมปัญญายังไม่พอ ก็ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในชาตินี้ได้ ไม่ใช่ว่าผู้ที่เป็นติเหตุกบุคคลแล้วจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ในปัจจุบันชาติทุกคน
ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ไม่พิการแต่กำเนิดนั้น ขณะนอนหลับสนิทภวังคจิตเป็นโสภณจิต เพราะปฏิสนธิจิตเป็นทวิเหตุกะ มีอโลภเจตสิก อโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย บางท่านปฏิสนธิจิตก็เป็นติเหตุกะ มีอโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ขณะหลับกิเลสไม่เกิด ไม่มีความยินดี ยินร้าย เพราะยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้คิดนึกเรื่องต่างๆ ทางใจ แต่เมื่อตื่นขึ้นนั้น จะดีใจหรือเสียใจ สุขหรือทุกข์ก็เป็นไปตามอกุศลจิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันหนึ่งๆ โดยมากวันหนึ่งๆ เมื่อตื่นแล้วก็เป็นอโสภณะมากกว่าเป็นกุศล จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะเดียว แล้วหลังจากนั้น ส่วนมากอกุศลชวนวิถีจิตก็เกิด ๗ ขณะ ซึ่งเท่ากับ ๗ เท่าของจักขุวิญญาณที่ทำกิจเห็นขณะหนึ่งๆ การสะสมสืบต่อของอกุศลธรรมในวันหนึ่งๆ นั้นมากมายเหลือเกิน ฉะนั้น จึงไม่ควรประมาทเลย เมื่อได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดว่า จิตขณะใดเป็นโสภณะ จิตขณะใดเป็นอโสภณะ และอโสภณจิตนั้นเป็นอกุศลหรือว่าเป็นวิบาก หรือว่าเป็นกิริยา
โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จัดพิมพ์เผยแพร่ โดย คณะกรรมการ ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา ครบ ๗๕ พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕
ขอเชิญอ่านหรือดาวน์โหลดหนังสือ ...
ขอเชิญอ่านตอนต่อไป ...
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่ และ สรรพสัตว์