ปรมัตถธรรม

 
homenumber5
วันที่  24 ต.ค. 2552
หมายเลข  14071
อ่าน  1,606

ปรมัตถธรรมเป็นธรรมเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน มีหนังสือที่อาจารย์สุจินต์เขียนขึ้น เล่มหนึ่ง อ่านแล้ว สองรอบ ยังไม่ลึกซึ้ง ไม่เข้าใจ ท่านใดช่วยเพิ่มเติมข้อธรรมแก่ เราได้บ้าง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 25 ต.ค. 2552

เรียนคุณ homenumber5

ผมเข้าใจว่าผู้ใดศึกษาปรมัตถธรรมจนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แทงตลอดจนทะลุปรุโปร่ง ผู้นั้นย่อมบรรลุมรรคผลนิพพานแน่นอน เพราะผู้ที่รู้ปรมัตถธรรมตามความเป็นจริง ผู้ นั้น คือ พระอริยบุลคล ถ้าผู้ใดไม่ศึกษาปรมัตถธรรม ก็ไม่อาจบรรลุมรรคผลได้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Sam
วันที่ 26 ต.ค. 2552

พระธรรมเป็นคำสอนที่ละเอียดและลึกซึ้งมาก เพราะเป็นคำสอนที่นำไปสู่การ ดับกิเลสอกุศลทั้งปวงได้ ซึ่งผู้ที่รู้จักตัวเองเป็นอย่างดี จะเข้าใจได้ว่าการละอกุศลแม้ แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั้น ยากแสนยากขนาดไหน

ดังนั้น ผู้ศึกษาธรรมจึงไม่ควรศึกษาเอง คิดเองแต่เพียงผู้เดียวครับ ควรมีการ สอบถามข้อสงสัยต่างๆ จากท่านผู้รู้ หรือท่านผู้ที่ได้ศึกษามาก่อน และมีความเข้าใจ แล้วพอสมควร ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ครับว่า การคบมิตรดี สหายดี หรือผู้ที่ เป็นกัลยาณมิตรนั้น เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษา และการบรรลุคุณธรรม ครับ

กัลยาณมิตร เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
CatLetter
วันที่ 26 ต.ค. 2552

ปรมัตถธรรม เป็นธรรมที่มีอยู่จริง เกิดขึ้นจริง มีอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่าผู้นั้นจะได้ มีโอกาสศึกษาหรือมีความเข้าใจหรือไม่ ปรมัตถธรรมก็เป็นเรื่องที่จริง เกิดขึ้นจริง มี อยู่ตลอดเวลา

ทุกวันนี้เราเห็นสิ่งใดก็ไม่เห็นสิ่งนั้น ได้ยินสิ่งใด ก็ไม่ได้ยินสิ่งนั้น

คือเราไม่ได้เห็นสิ่งใดตามความเป็นจริง การศึกษาพระธรรม จึงเป็นเรื่องของการศึกษาสิ่งที่กำลังเป็นจริงและปรากฏขึ้นจริงอยู่ในขณะนั้น

การอ่านหรือการศึกษาพระธรรมแม้จนเข้าใจในสิ่งที่ได้อ่าน หรือจากการสนทนา ปัญญาที่เกิดขึ้นก็เป็นปัญญาในระดับที่จะละ จะคลายได้ ในสิ่งที่ยังไม่เคย ได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น แต่ก็เป็นพี้นที่จะให้ปัญญาในระดับการเห็นเจริญงอกงามขึ้น ต่อไป

จงปรารถความเพียร มีขันติ อดทนและอดกลั้น ไม่ประมาทในธรรม

จนกว่าปัญญาจะเจริญจนรู้แจ้งพระสัจธรรมตามความเป็นจริง

ขออนุโมทนาสาธุในกุศลจิตทุกดวง

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 27 ต.ค. 2552

พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น ละเอียด ลึกซึ้งมาก ไม่สามารถที่จะคิดเอาเองได้ ควรที่จะศึกษาและพิจารณาไตร่ตรองให้ละเอียด พระพุทธองค์ทรง

ตรัสรู้ความจริง ซึ่งไม่พ้นทุกๆ ขณะที่กำลังปรากฎเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ควรใส่ใจให้เข้าใจในความจริงที่มีอยู่นี้ ถ้าคิดเอาเอง หรือจำเอาก็ไม่มีทางรู้ความจริงที่มีอยู่จริง ควรศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ และน้อมประพฤติปฏิบัติตาม หากไม่ได้ศึกษาพระธรรม

และประพฤติปฏิบัติตาม ก็ไม่สามารถดับกิเลสได้

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่...

ขอเชิญรับฟัง ..พื้นฐานพระอภิธรรม

การศึกษาพระอภิธรรมเพื่ออะไร?

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Jans
วันที่ 28 ต.ค. 2552

ได้อ่านหนังสือปรมัตธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ จบแล้วเช่นกัน

แต่การอ่านด้วยตนเองเป็นเพียงความเข้าใจคำยังไม่ช่วยให้เข้าใจสภาพธรรมในพระอภิธรรมได้จริงๆ แต่เมื่อได้เข้ามาศึกษาด้วยตนเองได้ฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ และท่านอาจารย์วิทยากรต่างๆ ที่มูลนิธิฯแล้ว ความเข้าใจพระอภิธรรมในหัวข้อต่างๆ ละเอียดมากขึ้น สะสมไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pornpaon
วันที่ 28 ต.ค. 2552

ปรมัตถธรรมสังเขป จิตตสังเขป และภาคผนวก

เล่มหนาไม่มากนักแต่เนื้อหาสาระแน่นจนเกินจำนวนหน้า ดิฉันอ่านได้เพียงครั้งละ 1-2 หน้า หน้าละนานมาก และวันต่อมาก็อ่านซ้ำหน้านั้นอีก เพราะตอนอ่านก็คิดว่าเข้าใจ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจจริงมั้ย เลยอ่านอีกที ก็นานเท่าเดิม ปีกว่าแล้ว จึงยังอ่านได้เพียงไม่กี่หน้า เพราะเป็น พระอภิธรรม (ธรรมอันยิ่ง)

จากการศึกษาด้วยปัญญาที่สะสมมาน้อยนิดเท่าปลายเข็มของดิฉัน จึงเข้าใจว่า เหตุใดพระผู้มีพระภาคเจ้ากว่าจะตรัสรู้จึงต้องใช้เวลานานถึง สี่อสงไขย กำไรแสนกัปป์ ปัญญาเป็นพืชที่โตช้า ความอดทนในการศึกษา ค่อยๆ สะสมความเข้าใจ จึงสำคัญ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 29 ต.ค. 2552

ขอร่วมสนทนากับคุณ Jans และ คุณ pornpaon ด้วยค่ะ ดิฉันเองก็อ่านหนังสือ

ปรมัตถธรรมสังเขป จิตตสังเขป และภาคผนวก

จบไปหลายรอบแล้วค่ะ อ่านทวนอีกก็ยิ่งเข้าใจขึ้นๆ เพราะว่า ท่านอ่จารย์กล่าวแนะนำเสมอว่าไม่ใช่ให้จำเรื่องราวของธรรมะ แต่ให้พิจารณไตร่ตรอง ให้เข้าใจถึงตัวจริงของธรรมะ เมื่อมีความเข้าใจแล้วจะไม่ลืมค่ะ เมื่อมีความเข้าใจก็ไม่ต้องแบกอะไรทั้งนั้นเพราะขณะที่เข้าใจธรรม ขณะนั้นปัญญาขั้นต้นก็ทำกิจขอปัญญา สัญญาก็ทำกิจจำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่มีตัวตนที่ไปจำ ขณะนั้นเป็นกุศลจิตค่ะ เบาสบาย

อ่านหนังสือพระธรรมหรือฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ และพิจารญาโดยแยบคาย ย่อมเป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ในสิ่งที่ปรากฏถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ปัญญา เกิดจากการอบรมจนประจักษ์จริงๆ ในสภาพธรรมที่ปรากฏโดยความเป็นอนัตตา การ ที่จะประจักษ์ความว่างจริงๆ คือ สภาพธรรมทั้งหลายว่างจากสัตว์ บุคคล ตัวตนนั้น ต้องเป็นปัญญาขั้นวิปัสสนาญาณ

ญาณคือ ความสมบูรณ์ของปัญญาที่ประจักษ์ ในลักษณะแต่ละลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ไม่ใช่เพียงพูด และคิดว่า ธรรมชาติเป็นอย่างนี้ ว่างอย่างนี้ การประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมทั้งหลายว่าว่างจากตัวตน สัตว์ บุคคลนั้นต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่าวิปัสสนา- ญาณเกิดประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 29 ต.ค. 2552

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องศึกษาตามลำดับ และปริยัติขั้นศึกษา ขั้นฟัง เพียงละ ความไม่รู้ จากที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แต่ไม่สามารถละกิเลส ต้องอบรมปัญญา ขั้นสติปัฏฐานที่จะค่อยๆ ละความเห็นผิด จนกว่าจะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขึ้นไปค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 30 ต.ค. 2552

ถ้าแม้ปริยัติก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้...ก็ไม่มีทางเข้าถึงความไม่เที่ยงได้

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่...

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ปริยัติกับปฏิบัติไม่แยกจากกัน เป็นเรื่องของปัญญา

การศึกษาปริยัติและการปฏิบัติ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
pornpaon
วันที่ 30 ต.ค. 2552

ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะพี่เมตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
hadezz
วันที่ 31 ต.ค. 2552

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ