กุศลจิตของพระอนาคามีบุคคลเป็นกิเลสวัฏฏ์หรือไม่
เมื่อกล่าวโดยนัยของ วัฏฏะ ๓ อันได้แก่ กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ และวิปากวัฏฏ์ ขอความกรุณาท่านผู้รู้ช่วยอธิบายว่า จิตประเภทต่างๆ ทั้งที่เป็นวิถีจิต และไม่เป็นวิถีจิต จิตประเภทใดเป็นวัฏฏะ ๓ บ้าง และ (จิตประเภทนั้นๆ) เป็นวัฏฏะใดครับ และเมื่อกล่าวโดยอุกฤษแล้ว กุศลจิตของพระอนาคามีบุคคล เป็นกิเลสวัฏฏ์ หรือไม่ครับ
รายละเอียดวัฏฏะ ๓ มีอยู่ที่กระทู้
กุศลเจตนาของพระอนาคามีบุคคล เป็นกัมมวัฏฏ์ครับ ส่วนกิเลสที่ท่านยังดับไม่ได้ เป็นกิเลสวัฏฏ์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอนาคามี เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๓ เป็นผู้ที่ดับความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ได้ เป็นผู้ที่ดับความโกรธ ได้ แต่ท่านยังไม่สามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากว่ายังมีโลภะ ความติดข้องในภพ ยังมีมานะ และ ยังมีอวิชชา รวมถึงอกุสลธรรมที่เกิดร่วมกันด้วย เช่น อหิริกะ (ความไม่ละอาย) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัว) เป็นต้น กิเลสเหล่านี้ จะถูกดับได้อย่างเด็ดขาด เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ ดังนั้น จิตของพระอนาคามี มีครบทั้ง ๔ ชาติ คือ จิตเกิดขึ้นเป็นกุศล จิตเกิดขึ้นเป็นอกุศล จิตเกิดขึ้นเป็นวิบาก และจิตเกิดขึ้นเป็นกิริยา จึงยังไม่พ้นจากวัฏฏะไปได้ จนกว่าจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ดังนั้น ความจริงเป็นอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ครับ ...
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอเรียนถามเพิ่มเติมครับว่า กิเลสวัฏฏ์ อันได้แก่กิเลสที่ยังไม่ได้ดับนั้น หมายรวมถึงอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องในจิตทุกขณะของผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ด้วยหรือไม่ครับ
เรียนความเห็นที่ 6
ใช่ครับ
กิเลสวัฏฏ์ ควรจะรวมกิเลสทุกระดับ ที่ยังดับไม่ได้
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เมื่อว่าโดยความเป็นปัจจัยแล้ว เพราะมีอวิชชา (ความไม่รู้) จึงมีสังขาร (เจตนาที่ทำกุศลหรืออกุศล) และเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณคือการเกิดใหม่ (วิปากวัฏฏ์) เพราะฉะนั้น เมื่อมีกิเลส (กิเลสวัฏฏ์) จึงทำให้ทำกุศลกรรมและอกุศลกรรม (กรรมวัฏฏ์) และเป็นปัจจัยให้เกิดในภพภูมิต่างๆ (วิปากวัฏฏ์) สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์แล้ว ยังมีกิเลส ยังมีความไม่รู้จึงเป็นปัจจัยให้จิตเป็นไปในกุศลหรืออกุศลและย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดในภพภูมิต่อๆ ไป พระอนาคามีผู้ยังไม่ได้ดับกิเลส ยังมีความไม่รู้ (กิเลสวัฏฏ์) จึงทำให้มีเหตุปัจจัยให้เกิดสังขารคือเกิดการกระทำที่เป็นกุศลหรือการกระทำที่เป็นอกุศล (กรรมวัฏฏ์) อันเป็นปัจจัยให้เกิดในภพภูมิต่างๆ (วิปากวัฏฏ์) เพราะฉะนั้นกุศลจิตและอกุศลจิตของพระอนาคามีและของผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ทั้งหมดจึงเป็นกรรมวัฏฏ์นั่นคือกุศลกรรมและอกุศลกรรมนั่นเอง อันเกิดจากกิเลสคือความไม่รู้เป็นหัวหน้าให้ทำกุศลและอกุศลครับ
[เล่มที่ 77] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 556
จริงอยู่ อวิชชาเป็นประธานแห่งวัฏฏะ ๓ (กิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ และวิปากวัฏฏ์) เพราะว่า ด้วยการยึดถืออวิชชา กิเลสวัฏฏ์ฏะที่เหลือ และกรรมวัฏฏ์ฏะ เป็นต้น ย่อมผูกพันคนพาลไว้เหมือนการจับศีรษะงู สรีระงูที่เหลือก็จะพันแขนอยู่ แต่เมื่อตัดอวิชชาขาดแล้วย่อมหลุดพ้นจาววัฏฏะเหล่านั้น เหมือนบุคคลตัดศีรษะงูแล้วก็จะพ้นจากการถูกพันแขน ฉะนั้นเหมือนอย่างที่ตรัสว่า "เพราะสำรอกอวิชชาโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
กิเลสที่เกิดแล้วก็สั่งสมเป็นอนุสัยต่อ กิเลส คือเครื่องเศร้าหมองที่ทำให้เกิดการกระทำ เช่น เป็นปัจจัยให้เกิดกุศลกรรมและอกุศลกรรม เพราะยังมีอกุศล จึงต้องเจริญกุศล เพื่อละอกุศลค่ะ
เพราะมีอวิชชา (ความไม่รู้) จึงมีสังขาร (เจตนาที่ทำ กุศลหรืออกุศล) และเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณคือการเกิดใหม่ (วิปากวัฏฏ์) เมื่อมีกิเลส (กิเลสวัฏฏ์) จึงทำให้ทำกุศลกรรมและอกุศลกรรม (กรรมวัฏฏ์) และเป็นปัจจัยให้เกิดในภพภูมิต่างๆ (วิปากวัฏฏ์)
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ