การฟัง=?

 
พุทธรักษา
วันที่  19 ก.พ. 2553
หมายเลข  15540
อ่าน  1,134

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สนทนาธรรม ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๓ ถอดเทปบันทึกเสียง โดยคุณย่าสงวน สุจริตกุล

"การฟัง"

เพื่อ ความเข้าใจ "สภาพธรรมตามความเป็นจริง" ว่า "เป็นธรรมะ แต่ละลักษณะ ซึ่งกำลังเกิด-ปรากฏ-ตามปกติ-ขณะนี้" และ ไม่สามารถที่จะรู้ถึงความลึกซึ้งของ "ธรรมะ" ใดๆ ได้เลยถ้า "ขณะนี้" ไม่เข้าใจ ว่า "ความเข้าใจธรรมะ" มี ๓ ขั้น

ขั้นปริยัติ คือ ความรอบรู้-ในสิ่งที่ได้ฟัง ไม่ได้หมายความว่ารู้-เรื่องราว-อรรถะ-พยัญชนะ-โวหาระ-ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาทั้งหมดแต่ หมายความว่าแม้แต่คำว่า "ธรรมะ" เพียงคำเดียว ที่ส่องถึง "ลักษณะที่มีจริง-ของธรรมะ"

แม้จะเข้าใจจากการฟัง ว่า เป็น "ธรรมะ" ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของมีลักษณะเกิด-ดับอยู่ทุกขณะ ก็ยังยากที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้น"การฟัง" ก็เพื่อ "ละความไม่รู้"

ไม่ใช่ฟังแล้ว อยากเข้าใจทั้งหมดเลยทุกอย่างที่ได้ฟังซึ่งเป็นไปไม่ได้ แม้แต่คำว่า "ธรรมะ" ก็ได้ฟังแล้วตั้งหลายครั้งว่า "ธรรมะ - ไม่ใช่เรา" ขณะที่ฟัง และ มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ เช่น ขณะนี้มีการเห็น เพราะฉะนั้น "การฟัง" ที่เป็นประโยชน์ ก็คือ ในขณะที่ฟัง-ฟัง"เรื่องสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น" แล้วเริ่มเข้าใจ "ความจริง"

"ความจริง" ที่เข้าใจได้ คือ "ลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่มีจริงๆ " ในขณะที่กำลังฟังนั่นเอง
ซึ่งยากมากที่จะประจักษ์ "ความจริง" นั้นได้ เพราะว่า สะสมความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง มานานมาก

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
orawan.c
วันที่ 19 ก.พ. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ups
วันที่ 19 ก.พ. 2553

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Jans
วันที่ 19 ก.พ. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 19 ก.พ. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
homenumber5
วันที่ 20 ก.พ. 2553

กราบเรียนท่านพุทธรักษา

ท้ายความเห็นท่านเขียนว่า สะสมความไม่รู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริงมานานมากนั้น ท่านหมายถึง ว่า ปุถุชนอย่าง เรานี้ เกิดมาจาก โมหะเหตุ คือโลภะโมหะเหตุ ๘ โทสะโมหะเหตุ ๒ และโมหะโมหะเหตุ ๒ เช่นนั้นหรือไม่คะ หรือ ว่า มีเหตุอื่นที่ทำให้เราสะสมความไม่รู้มานานมากๆ

ขอน้อมนำให้ท่านช่วยตอบเพื่อเพิ่มธรรมสัญญาด้วย

ขออนุโมทนาบุญค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
homenumber5
วันที่ 20 ก.พ. 2553

เรียนท่านพุทธรักษา

หัวข้อนี้ ชี้เรื่องการฟัง เพื่อละความไม่รู้

ขอกราบเรียนถามว่า การอ่านเช่นพระไตรปิฎกนั้น หรืออ่านพระอรรถกถา จะมีข้อแตกต่างจากการฟังการบรรยายธรรมอย่างไรคะ ฟังดีกว่า อ่านหรือไม่คะ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
hadezz
วันที่ 20 ก.พ. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
พุทธรักษา
วันที่ 20 ก.พ. 2553

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 15540 ความคิดเห็นที่ 5 โดย homenumber5

กราบเรียนท่านพุทธรักษา

ท้ายความเห็นท่านเขียนว่า สะสมความไม่รู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริงมานานมากนั้น ท่านหมายถึง ว่า ปุถุชนอย่าง เรานี้ เกิดมาจาก โมหะเหตุ คือโลภะโมหะเหตุ ๘ โทสะโมหะเหตุ ๒ และโมหะโมหะเหตุ ๒ เช่นนั้นหรือไม่คะ หรือ ว่า มีเหตุอื่นที่ทำให้เราสะสมความไม่รู้มานานมากๆ

ขอน้อมนำให้ท่านช่วยตอบเพื่อเพิ่มธรรมสัญญาด้วย

ขออนุโมทนาบุญค่ะ

ท่านถามว่า หรือ ว่า มีเหตุอื่นที่ทำให้เราสะสมความไม่รู้มานานมากๆ ขอน้อมนำให้ท่านช่วยตอบเพื่อเพิ่มธรรมสัญญาด้วย ขอเชิญท่านอ่านข้อความโดยตรงจากพระไตรปิฎก"คำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น"

อวิชชาเกิดขึ้น เพราะอาสวะเกิดขึ้น [วิภังค์]

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
พุทธรักษา
วันที่ 20 ก.พ. 2553

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 15540 ความคิดเห็นที่ 6 โดย homenumber5

เรียน ท่านพุทธรักษา

หัวข้อนี้ ชี้เรื่องการฟัง เพื่อละความไม่รู้

ขอกราบเรียนถามว่า การอ่านเช่นพระไตรปิฎกนั้น หรืออ่านพระอรรถกถา จะมีข้อแตกต่างจากการฟังการบรรยายธรรมอย่างไรคะ ฟังดีกว่า อ่านหรือไม่คะ

ขออนุโมทนาค่ะ

อวิชชา แปลว่า ความไม่รู้ คือ ไม่รู้-อริยสัจจธรรมวิชชา แปลว่า ความรู้ คือ รู้อริยสัจจธรรม. อริยสัจจธรรม คือ สภาพธรรมตามความเป็นจริงที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงตรัสรู้ถ้าพระองค์ไม่ทรงพระมหากรุณาฯ เราจะไม่มีทางรู้เองได้เลยค่ะ

ดังนั้น ไม่ว่าจะ ฟังธรรมบรรยาย จากท่านผู้ใดก็ตามหรือว่า อ่านพระไตรปิฎก และ อรรถกถา โดยตรงควรพิจารณา ว่า สิ่งที่ได้จากการฟัง-การอ่าน-การสนทนา นั้นเป็นการแสดงธรรมที่ตรงตาม "ธรรมที่พระผู้มีพระภาคฯตรัสรู้" หรือไม่ พระธรรมที่ทรงตรัสรู้ คือ "สภาพธรรมตามความเป็นจริง" "การศึกษาพระธรรม" เป็นปัจจัยให้เกิด "วิชชา-ความรู้" เพิ่มขึ้นถามว่า รู้อะไรเพิ่มขึ้น

รู้ "ลักษณะ สภาพธรรม-ตามความเป็นจริง-ในขณะนี้" สภาพธรรมที่มีจริง เมื่อมีปัจจัยให้เกิด และปรากฏ ต้องดับไป ไม่เที่ยง แต่เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัยจึง เห็นว่า สภาพธรรมที่ปรากฏนั้น เที่ยง และ ยึดถือ ว่า เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน และที่สำคัญ คือ มีความเห็นผิด ว่า "เป็นเรา-เป็นของเรา"
ทั้งๆ ที่ "ความจริง" เป็นการเกิด-ดับ-สืบต่อ-ไม่ขาดสาย-ของสภาพธรรม ตั้งแต่เกิด จนตาย แล้วก็เกิดอีก ตายอีกๆ และจะเป็น "ความรู้จริงๆ " ก็ต่อเมื่อ มีปัจจัยที่ทำให้ "สติปัฏฐาน" เกิดขึ้นหมายความว่า สติ-ระลึก และ ปัญญา-รู้-ตรงลักษณะของสภาพธรรม-ตามปกติ-ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ตามการสะสม ของแต่ละบุคคล
.
พระผู้มีพระภาคฯ ทรงสดงว่า "สติปัฏฐาน" นั้น "รู้ได้เฉพาะตน"จึงขาดการ "ศึกษาพระธรรม" ไม่ได้เลย.!
"การศึกษาพระธรรม" ก็คือ การอ่าน-การฟัง-การสนทนาธรรม-พิจารณาธรรม-ให้เกิดความเข้า (ปัญญา)
จุดประสงค์ที่แท้จริง ก็คือ เพื่อค่อยๆ ละความไม่รู้ และ ความรู้ จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น จาก "การศึกษาพระธรรม" นั่นเอง.หมายความว่าวิชชา-ความรู้-ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ นั่นเองที่เป็นปัจจัย-ให้ค่อยๆ ละ-อวิชชา-ความไม่รู้-ให้ค่อยๆ ลดลงทีละเล็ก ทีละน้อย.
ด้วยเหตุนี้ ... พระผู้มีพระภาคฯ จึงทรงแสดง ว่า การอบรม-เจริญปัญญา เป็น "จิรกาล-ภาวนา"
จิระ=แสนนาน + กาล=เวลา + ภาวนา=การอบรม-ศึกษา"จิรกาลภาวนา" จึงหมายความว่า "การศึกษาที่ต้องใช้เวลาที่นานมาก"ความหมายโดยละเอียด ขอเชิญอ่านที่นี่ค่ะ vจิรกาลภาวนา โดย บ้านธัมมะ

ขออนุโมทนา ... ที่สนใจ "ศึกษาพระธรรม" นะคะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
aditap
วันที่ 21 ก.พ. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
วิริยะ
วันที่ 22 ก.พ. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Sam
วันที่ 22 ก.พ. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
aiatien
วันที่ 24 ก.พ. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
homenumber5
วันที่ 25 ก.พ. 2553

เรียน ท่านพุทธรักษา

ขออนุโมทนาอย่างยิ่ง ที่ท่านเมตตาให้ ความรู้และชี้แนะ ทั้ง แนะนำเรื่องที่ควรสิกขาด้วย ขออานิสงแห่งธรรมทานนนี้ จงเป็นพลวัตรปัจจัยให้ ท่านและกัลยาณมิตรทุกท่าน ทั้งสัตว์ ทั้ง ๓๑ ภูมิ จงถึงมรรค ๔ ผล ๔ พระนิพพาน ๑ โดยเฉียบพลันในปัจจุบันชาตินี้เทอญ

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
pornpaon
วันที่ 25 ก.พ. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ