ความเป็นพาลคือการไม่รู้ความจริง
ความเป็นจริงมีแต่สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตน เพราะนั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะมีจิต เจตสิก รูป จึงสมมติบัญญัติว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นคนดี เป็นคนพาล กุศลจิตมีจริง เป็นธรรม อกุศลจิตมีจริงเป็นธรรม ขณะไหนเป็นพาล เมื่อว่าโดยปรมัตแล้ว อกุศลทำให้เป็นพาล กิเลสทำให้เป็นพาล กุศลจะเป็นพาลไม่ได้
ความเป็นพาลคือการไม่รู้ความจริง ขณะที่เป็นอกุศลจิตไม่รู้ความจริง ไม่รู้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด พาลจึงไม่ได้ห่างไกลตัวเลย คือที่กำลังมีในขณะนี้ ขณะที่ไม่รู้ความจริง ขณะ ที่เป็นอกุศลธรรม พาลจึงเป็นเพียงการสมมติขึ้นจากสภาพธรรมที่มีจริงคืออกุศลจิต อกุศลเจตสิกและอกุศลธรรม จะหาพาลจากที่ไหนก็จากใจของแต่ละคน แล้วเราควรจะไล่พาลใครดี?
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จอง เวร ทรงสอนให้มีเมตตาในบุคคลอื่น การไล่คนพาลจึงไม่ใช่การไล่คนอื่น แต่ไล่พาล คืออกุศลธรรมของตนเองที่มีอยู่ โลกย่อมดำเนินไปอยู่แล้วเป็นปกติ เข้าใจว่าผิดปกติเพราะหลงในเรื่องราวและยึดถือ ว่ามีเรา มีสีตว์ บุคคล ไม่มีใครจัดการอะไรได้ เราลืมความเป็นอนัตตาและจะเป็นผู้- จัดการโลก แต่ลืมประโยชน์สูงสุดคือความเข้าใจพระธรรมและการขัดเกลากิเลสทุก ประการ หากมีความเห็นถูกจริงๆ แล้วจะไม่สำคัญว่ามีสัตว์ บุคคลที่เป็นคนพาล แต่เป็น เพียงสภาพธรรมที่เป็นอกุศลธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของแต่ละจิต จึงไม่มีสัตว์ บุคคลที่จะไปไล่ ประโยชน์คือ ไล่พาลที่มีในใจของแต่ละคน ความถูกต้องจึงไม่ต้อง ไปหาที่อื่น หาที่ใจของแต่ละคน แค่นี้ก็เบาด้วยความเข้าใจพระธรรมครับ อนุโมทนา เชิญคลิกอ่านที่นี่มีประโยชน์มาก
"...การไล่คนพาลจึงไม่ใช่การไล่คนอื่น แต่ไล่พาล คือ อกุศลธรรมของตนเองที่มีอยู่..."
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
เมื่อแต่ละคนสำรวจความเป็นคนพาลในใจตนเองแล้วถ้ามีก็ไล่ออกไปให้พ้นไม่ยอมให้ความเป็นคนพาลเข้าใกล้ .....สังคมก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข
ขอขอบคุณและอนุโมทนาครับ
ไล่คนพาลคือเอาธรรมเข้าไปไล่ใช่หรือไม่ วิธีนำธรรมเข้าไปต้องอาศัยว่าใครมี หน้าที่ใดควรทำหน้าที่นั้นด้วยความตั้งใจ จิตเป็นธรรม และอุทิศแก่ส่วนรวม
ขณะที่อกุศลธรรม คืออกุศลจิตและอกุศลเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นพาล ซึ่งในชีวิตประจำวันอกุศลจิตเกิดขึ้นมากมายเกือบตลอดทั้งวัน หากว่าโดย บัญญัติแล้ว สัตว์ บุคคล นั้นๆ เป็นคนพาลเกือบตลอดวัน อกุศลธรรมเหล่านั้นที่เกิด ขึ้นจะสะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้กระทำทุจริตกรรมไม่ว่าทางกาย หรือทางวาจาได้ การได้ฟังพระธรรม และอบรมเจริญความเห็นถูกเข้าใจถูกในลักษณะ สภาพธรรมพร้อมกับการอบรมเจริญกุศลทุกประการ ค่อยๆ ขัดเกลากิเลสที่สะสมอยู่ อย่างมากมาย เพื่อไล่ความเป็นพาลออกไป ขณะใดที่เป็นไปในทาน ศีล ภาวนา ขณะนั้นเป็นบัณทิต เพราะฉะนั้น ควรที่จะไล่คนพาลออกจากตัวเราเอง จึงจะ เป็นสาระ สำคัญเป็นประโยชน์กว่าค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ