ผู้ชี้โทษ เหมือนผู้บอกขุมทรัพย์ [อรรถกถาคันธารชาดกที่ ๑]
[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้าที่ ๓๒๗
๒. คันธารวรรค
๑. คันธารชาดก
อรรถกถาคันธารชาดกที่ ๑
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ สภาวะความเป็นเอง คือ เหตุที่บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ทรงพรรณนาสรรเสริญแล้ว
บทว่า อธมฺโม เม น รุจฺจติ ความว่า ธรรมดา อธรรมไม่ใช่สภาวะความเป็นเอง เราก็ไม่ชอบใจแต่ไหนแต่ไรมา.
บทว่า นปาปมุปลิมฺปติ ความว่าเมื่อเรากล่าวสภาวะนั่นเอง หรือเหตุนั่นแหละอยู่ ขึ้นชื่อว่าบาปจะไม่ติดอยู่ในใจ. ธรรมดาการให้โอวาทนี้เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้า พระปักเจกพุทธเจ้าและพระสาวกและโพธิสัตว์ทั้งหลาย ถึงคนพาลจะไม่รับเอาโอวาทที่ท่านเหล่านั้นให้แล้ว แต่ผู้ให้โอวาทก็ไม่มีบาปเลย
เมื่อจะแสดงอีกจึงกล่าวคาถาว่า :-
ผู้มีปัญญา คนใดมักชี้โทษมักพูดบำราบ คนควรมองให้เหมือนผู้บอกขุมทรัพย์ ควรคบ บัณฑิตเช่นนั้น เพราะว่า เมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น จะมีแต่ความดีไม่มีความชั่ว คนควรตักเตือน ควรพร่ำสอน และควรห้ามเขาจากอสัตบุรุษ เพราะแลเป็นที่รักของเหล่าสัตบุรุษ ไม่เป็น ที่รักของเหล่าอสัตบุรุษ
จิตของใครจะเกิดอกุศลได้ก็เพราะกิเลสของเขาเองเป็นเหตุ ถ้าคุณแล้วเจอกันไม่มีเจตนาที่จะทำให้ใครคิดอกุศล เมื่อท่านกล่าวธรรมะที่ถูกต้อง มีเหตุผลด้วยกุศลเจตนาอยู่ ขึ้นชื่อว่า บาป ย่อมไม่เปรอะเปื้อน ไม่ติดจิตของท่านในขณะนั้นได้
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านที่คิดเมตตาความรู้สึกผู้อื่นอยู่บ่อยๆ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น