ไม่มีเวลาบำรุงมารดาเลย ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือเปล่าครับ
ผมทำงานอยู่ต่างจังหวัด ไม่มีเวลาบำรุงมารดาเลย เอาแต่ทำงาน เลี้ยงครอบครัวเพื่อสร้างฐานะ ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือเปล่าครับ แต่ผมโทรไปคุยอยู่เรื่อย ถามทุกข์ สุข อะไรประมาณนี้ แม่ผมอยู่กับพี่ชาย ส่วนพ่อเสียแล้ว ผมชวนมาอยู่ด้วย ท่านก็มาอยู่ไม่ได้ แม่ผมชอบทำสวน ยังแข็งแรง ผมเป็นลูกประเภทไหนครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
หน้าที่ของบิดา มารดาที่มีต่อบุตรก็มี หน้าที่ของบุตรที่ควรทำกับบิดา มารดาก็มี สิ่งใดที่เราเห็นว่าสำคัญเราย่อมมีเวลาให้สิ่งนั้น เวลาจึงมีให้กับสิ่งที่ตนคิดว่าสำคัญ หากเราจะแบ่งเวลาบ้าง วันหยุด วันอาสาฬหบูชาวันว่างซักวัน ไปเยี่ยมท่าน ซื้อของฝาก ท่านก็ดีใจแล้วครับ ดังนั้นเราเป็นบุตร เราก็ต้องทำหน้าที่ของบุตรด้วย เวลาของแต่ละคนก็เหลือน้อยลงไป ดังนั้นประโยชน์คือไม่ใช่เพื่อรู้ว่าเราเป็นลูกประเภทไหนแต่ต้องถามตัวเองว่าเราได้ทำเต็มที่หรือยังในฐานะที่เราเป็นบุตรครับ แล้วปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ ผมเชื่อครับว่ามีบางคนที่ยอมเสียสละเวลา แม้จะเสียเวลางานบ้างเพื่อแม่ ก็มีครับเพราะระลึกคุณของแม่ที่มีต่อเรามากมายที่ได้ให้เวลาเลี้ยงเรามา
ขออนุโมทนา อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความตอนหนึ่งจาก ชนสันธชาดก
[เล่มที่ 60] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้าที่ ๑๕๙ - ๑๖๗
"ผู้ไม่เลี้ยงดูมารดาบิดา ย่อมเดือดร้อน ในภายหลังว่า เราสามารถพอที่จะเลี้ยงดูมารดาและบิดาผู้แก่เฒ่าชราได้ ก็มิได้เลี้ยงดูท่าน"
ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
ชนสันธชาดก .. พระราชาผู้ยังชนให้ตั้งมั่นด้วยดีในกุศลธรรม
พ่อแม่ เป็นบุพการี คือ ผู้ที่กระทำอุปการะแก่บุตรมาก่อน เป็นผู้ที่เอาใจใส่เลี้ยงดูบุตรให้เจริญเติบโตอย่างปลอดภัย โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย (ผู้ที่เป็น พ่อแม่ ย่อมจะรู้ดี) ท่านเป็นผู้พร่ำสอนให้บุตรออกจากความชั่ว แล้วให้ตั้งอยู่ในความดี สอนให้รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ พร้อมทั้งให้ศึกษาศิลปวิทยา วิชาชีพต่างๆ เพื่อให้บุตร มีความรู้ติดตัว อันจะเป็นบ่อเกิดแห่งการงานประการต่างๆ ซึ่งจะทำให้ชีวิตของบุตรดำเนินไปด้วยความไม่เดือดร้อนในภายภาคหน้า เป็นต้น นี้คือ พระคุณของท่านซึ่งนำมากล่าวเป็นส่วนน้อย เพราะแท้ที่จริงแล้ว พระคุณของท่านทั้งสอง มีมากไม่สามารถพรรณนาให้หมดสิ้นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ควรอย่างยิ่งที่บุตรจะต้องมีความกตัญญูกตเวที คือ รู้ถึงพระคุณที่พ่อแม่กระทำแก่ตนแล้ว กระทำตอบแทนท่าน เมื่อมีโอกาสแล้ว ไม่ควรปล่อยโอกาส อันดีงามนี้ให้ผ่านไป ควรตั้งใจทำหน้าที่ของบุตรให้ดีที่สุด เท่าที่จะกระทำได้ ไม่มีคำว่ายาก และไม่มี คำว่าสาย ถ้าหากว่าเป็นผู้ที่มีความจริงใจและมีความตั้งใจอย่างมั่นคงที่จะน้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงาม กล่าวคือ ความเป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่อพ่แม่ (เป็นต้น) ไม่ควรเลย ที่จะทำให้ตนเอง ต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง เพราะมีโอกาสแล้ว สามารถจะเลี้ยงดู หรือ กระทำในสิ่งที่ดีงาม ตอบแทนพ่อแม่ได้ แต่ก็ไม่ได้กระทำ ดังข้อความในพระไตรปิฎกที่ได้ยกมา ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ชีวิตประจำวันของดิฉัน ก็ไม่ต่างกับปัญหานี้เท่าใดนัก ดิฉันได้พยายามไปพบปะเยี่ยมเยียนมารดาทุกสัปดาห์ แต่ก็ยังห่างไกลกับคำว่า "บุตรที่ดี" และเดือดร้อนอยู่ ว่ามิได้เลี้ยงดูท่านเช่นที่ควร แม้จะคิดเอาเองว่าเป็นผู้ที่ได้สดับมาบ้างเพียงเล็กน้อย ในสภาพสังคมปัจจุบัน แม้กุศลเล็กน้อยบางประการ ก็ทำได้ยากเหลือเกิน มีปัจจัยของอกุศลเกิดขึ้นมากกว่าปัจจัยของกุศล ถ้าขาดความเพียรเสียแล้ว กุศลคงไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ขอน้อมอนุโมทนาที่สร้างปัจจัยให้ดิฉันเกิดวิริยะขึ้น ระลึกถึงพระคุณมารดาบิดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์สุจินต์ มารดาทางธรรม ผู้ซึ่งทำให้ดิฉันได้สดับ แม้จะเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ได้มีโอกาสค่อยๆ เจริญความเห็นถูก ในชีวิตที่เกิดมาแล้วนี้
ขอน้อมสักการะ ท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ถ้าขาดบิดามารดา....การเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้จะมีไม่ได้ นี่คือพระคุณสูงสุด
ขออนุญาตคัดข้อความบางส่วนของคุณ khampan.a ความคิดเห็นที่ ๓
มาแสดงย้ำอีกทีดังนี้ "...เมื่อมีโอกาสแล้ว ไม่ควรปล่อยโอกาสอันดีงามนี้ให้ผ่านไป ควรตั้งใจทำหน้าที่ของบุตรให้ดีที่สุด เท่าที่จะกระทำได้ ไม่มีคำว่า ยาก และ ไม่มีคำว่า สาย ไม่ควรเลยที่จะทำให้ตนเองต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง เพราะมีโอกาสแล้ว สามารถจะเลี้ยงดู หรือกระทำในสิ่งที่ดีงาม ตอบแทนพ่อแม่ได้ แต่ก็ไม่ได้กระทำ...."
อย่าลืมหาเวลาไปเยี่ยมท่านบ้างนะครับ
ขออนุโมทนาครับ