เรื่อง กรรมในอดีต
ที่คุณ phurin กล่าวว่าภพปัจจุบันลำบาก ไม่ทราบว่า ลำบากกาย หรือ ลำบากใจครับ
ทั้งสองอย่างครับ
1. กาย ป่วยเป็นริดสีดวงจมูกด้านซ้าย มานานหลายปีครับ ประมาณ 5 ปี
2. ทำงานเท่าไหร่ก็ไม่รวยสักทีครับ
3. ใจ กังวลใจเกี่ยวกับครอบครัว ญาติพี่น้องครับ ยังหาคู่ไม่ได้สักทีครับ
ก่อนอื่นเราควรทราบว่า สิ่งที่ล่วงไปแล้วในอดีตได้จบไปแล้ว ฤกษ์ยามทั้งหลาย วัน เดือน ปี เวลา หรือปีนักษัตรที่เราเกิด ไม่สามารถที่จะช่วยให้เรากลับไปแก้ไขอะไรในอดีตได้ และก็รู้ไม่ได้ว่าอดีต เราเคยทำอะไร ชาตินี้จึงเป็นอย่างนี้ เพราะเราไม่มีปัจจัยที่จะสามารถระลึกชาติได้ครับ ในครั้งพุทธกาล มีผู้ที่ระลึกชาติได้ว่า เคยเป็นใคร ทำอะไรไว้ในอดีตได้ แต่สุดท้าย ก็ไม่มีใครจะสามารถหลบหลีกผลของอกุศล ที่จะต้องเกิดกับตนได้ แม้แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราเอง พระองค์ก็ทรงระลึกชาติได้นับประมาณไม่ถ้วน แต่เมื่อเหตุปัจจัยของกรรมที่จะให้ผลมีพร้อม พระองค์ก็ทรงพระประชวรอย่างหนัก ไม่สามารถที่จะทรงหลีกเลี่ยงสิ่งที่ต้องเกิดได้ เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร การกระทำอกุศลกรรมที่ได้เคยกระทำไว้ในอดีต เมื่อถึงเวลาจะให้ผล ก็ให้ผล แม้แต่ผู้ที่ทรงเป็นถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่มีข้อยกเว้น จนกว่าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน คือ ไม่มีการเกิดอีกต่อไปครับ เ พราะฉะนั้น ถ้ายังไม่พ้นจากการเกิดมาเป็นอย่างนี้ ก็ไม่มีทางที่จะหลีกหนีการให้ผลของอดีตกรรม ทั้งทางฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีได้เลย
ที่ได้เรียนถามไว้ในความเห็นแรก เพื่อจะชี้แจงให้คุณPhurin ได้เข้าใจว่า ความลำบากกาย มีจริง และเป็นทุกข์จริง ซึ่งยากจะเลี่ยงได้ ทุกคนที่มีกาย ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ก็จะต้องได้รับทุกข์กายครับ เพราะว่ากายเป็นรังของโรคต่างๆ และเสื่อมลงตามวัย แต่ทุกข์กายทั้งหลาย อาจจะมีหนทางที่จะช่วยให้อาการบรรเทาลง เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไป ตามอัตภาพได้ ถ้าอาการของคุณPhurin รักษายังไงไม่หาย ก็ควรจะได้เข้าใจว่า สิ่งนี้เป็นผลของ อกุศลกรรม ครับ เราเลี่ยงไม่ได้ แต่อาจจะบรรเทาทุกข์กายที่มี เท่าที่จะพอกระทำได้ ก็ขอให้รักษาสุขภาพร่างกาย มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อกระทำความดีครับ
ส่วนความลำบากใจ เกิดเพราะโลภะ โทสะ โมหะ ที่เราสะสมมานาน ในวัฏฏะเป็นทุกข์จร แต่เกิดมาก เพราะเรามีอกุศลมาก ความกังวลใจในสิ่งต่างๆ เป็นความทุกข์ใจ ไม่สบายใจซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย เราไม่ต้องการทุกข์ใจ แต่ถึงเวลาทุกข์ใจทุกข์ใจก็ต้องเกิด แต่ก็ไม่มีใครนั่งกังวลใจไปทั้งวัน เพราะทุกข์ใจเกิดแล้วดับ แล้วความรู้สึกอื่นๆ ก็เกิดสืบต่อ สำหรับผู้ที่กังวลใจมาก เพราะมีปัจจัยให้ความกังวลใจในเรื่องนั้นเกิดซ้ำๆ บ่อยๆ เพราะสิ่งที่กังวลถึงนั้นเป็นสิ่งที่รักที่ต้องการ สิ่งไหนที่ไม่รักไม่ต้องการ ก็คงจะไม่กังวลใจอะไรมากนัก
ดังนั้น ที่เราทุกข์ใจ กังวลใจ เพราะเราปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น เช่น เราอยากมีคู่แต่หาคู่ไม่ได้ เราก็ทุกข์ใจ คนที่อยากอยู่เป็นโสด จะไม่ทุกข์ใจแบบนี้ใช่ไหมครับ แต่ถ้าคนอยากโสด ถูกบังคับจับแต่งงานเขาก็ต้องทุกข์ใจเช่นกัน หรือ กรณีที่เราอยากรวย แต่ทำงานเท่าไรก็ไม่รวยสักที ก็ทำให้เกิดความทุกข์ใจ ทุกข์ใจที่เกิด มีสาเหตุมาจาก โลภะ โทสะ โมหะ คือ มาจากความไม่รู้ และ ความต้องการในสิ่งต่างๆ ไม่สิ้นสุด เมื่อไม่ได้ตามนั้น ก็เสียใจครับ
แต่ยังพอจะมีหนทางที่จะช่วยบรรเทาทุกข์จรที่กล่าวมาทั้งหมดได้ ด้วยการฟังธรรม อบรมปัญญา ให้เข้าใจในสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันของเราเอง ถ้าคุณPhurinสนใจ ก็ขอแนะนำให้ศึกษาพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยลองฟังธรรมที่มีในเว็บไซต์นี้บ่อยๆ แล้วไตร่ตรองจนเกิดปัญญาของคุณPhurin เอง ปัญญาเป็นสิ่งที่ควรอบรม ปัญญาไม่ทำให้เราทุกข์ใจ ทรัพย์สิน ญาติมิตร ผู้เป็นที่รัก เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์กับผู้ที่ยังเป็นปุถุชนได้เสมอ แต่ปัญญาที่เจริญขึ้นจะค่อยๆ ช่วยบรรเทาความหวั่นไหวที่เกิดในชีวิตประจำวันเพราะสิ่งเหล่านี้ได้ครับ
ถอดข้อความบางตอนจากไฟล์เสียงท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในลิงค์ด้านบนค่ะ
"ในพระไตรปิฎก อุปมาไว้ไพเราะมากว่า สำหรับทุกข์กายเนี่ย ไม่มีใครที่หนีพ้นเลย ตราบใดที่มีกาย เมื่อมีตาก็ต้องมีโรคตา ใช่มั้ยคะ ต้อไปผ่าตัด ไปรักษา มีหูก็ต้องมีโรคหู ส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปร่างกาย เป็นทุกข์กายได้ทั้งหมด เหมือนกับ ถูกยิงด้วยลูกศร ดอกที่หนึ่ง เวลาที่ทุกข์กายเกิด แล้วเวลาที่ทุกข์กายเกิด ก็เป็นห่วงกังวล วิตกทุกข์ร้อน เป็นทุกข์ใจ เพราะว่ากายเจ็บ แต่กายคิดไม่ได้ แต่ความคิด ปรุงแต่งไปสารพัดอย่างที่จะเป็นความทุกข์ เพราะฉะนั้น ความทุกข์ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ทุกข์กายแล้ว อุปมาเหมือนกับลูกศรดอกที่สอง ที่ยิงซ้ำที่แผลเก่า เพราะฉะนั้น ความทุกข์เนี่ยจะเพิ่มมากขึ้นอีกสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นในชีวิตของเรานี่ เราแยกได้ ที่ทุกคนคิดว่ากำลังมีทุกข์ หรือมีปัญหาเนี่ย จริงๆ แล้วเป็นเรื่องของความคิด ทางทุกข์จริงๆ ซึ่งทุกคนหนีไม่พ้นเลย เฉพาะทุกข์กายอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าสมมติว่าร่างกายแข็งแรงดี ไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่ทุกข์ ให้ทราบว่า ทุกข์ที่เหลือทั้งหมด เป็นเรื่องของทุกข์ใจ เป็นเรื่องของความคิด เป็นความกังวล ความเดือดร้อนต่างๆ เพราะฉะนั้น เราเอาทุกข์ มาทับถมตัวเอง ซึ่งถ้าเราไม่อยากจะมีทุกข์อันนี้นี่ เราก็สามารถจะมีแต่เพียงทุกข์กายเท่านั้นได้"
คนเราจะมีความทุกข์น้อยลง เมื่อ....
๑. มีปัญญาเพิ่มขึ้น
๒. มีกิเลสน้อยลง
สงสัยว่าการระลึกรู้อดีตชาตินั้นจะช่วยให้คนเรามีความทุกข์น้อยลงได้อย่างไรค่ะ?
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า สัตว์โลกเป็นที่ดูผลของบุญและบาปกุศลวิบากเป็นผลของกรรมที่ดี (บุญ) อกุศลวิบากเป็นผลของกรรมที่ไม่ดี (บาป) พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจเรื่องเหตุและผล คือ เหตุย่อมสมควรแก่ผลเสมอ ความลำบากอันเป็นผลจากกรรมอะไรในอดีต ไม่มีใครรู้ได้ (นอกจากพระพุทธเจ้า) แต่ที่สำคัญ คือ กรรมที่กระทำในปัจจุบันจะต้องให้ผลสมควรแก่เหตุเช่นเดียวกันค่ะ
อาจารย์สุจินต์ท่านกล่าวไว้ว่า "กรรมยุติธรรมเสมอ" ไม่มีใครเลือกเกิดได้ เสียเวลาเปล่าที่จะไปคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ธรรมเป็นโอสถ ขนานแท้ในการแก้ทุกข์ ฟังธรรมไปเถอะค่ะ เดียวก็ดีเอง ธรรมจัดสรรให้แล้ว
ความรู้สึกเดียวกันกับคุณ Phurin เลยครับ เกิดปีเดียวกัน แต่ก็ธรรมะช่วยได้เยอะเลยครับ ดิ้นรนไปก็เดือดร้อนทั้งกายใจ ทุกอย่างที่หวังเกิดจากความต้องการ ทั้งๆ รู้เกิดจากโลภะ แต่ยากเหลือเกินที่จะไม่คิด แต่จะไปห้ามไม่ให้คิดมันก็คิดไปแล้ว จะไปห้ามความต้องการมันก็ห้ามไม่ได้ ก็มันควบคุมไม่ได้ มีอย่างเดียวคือมีสติลึกรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง ความต้องการเหล่าก็จะหายไปแม้จะก็มาอีก แต่ทุกอย่างก็ควบคุมไม่ได้เป็นอนัตตา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
สาธุ .... ขออนุโมทนากับความคิดเห็นที่ดีดีกับทุกท่านครับ ภูรินทร์
ขอให้คุณ Phurin ตั้งใจที่จะกระทำแต่กรรมดี และหมั่นศึกษาหาความรู้โดยการฟังพระธรรมเท่าที่เวลาจะอำนวยให้ได้ ความทุกข์ที่มี่อยู่จะค่อยๆ ทุเลาเบาบางลง เพราะพระธรรมของพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เรายังไม่เคยได้ฟังหรือประพฤติปฏิบัติตามกันอย่างถูกต้อง และก็ต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ฯ ที่ได้นำพระธรรมคำสอน มาเผยแผ่อย่างแท้จริงคุณเดินมาถูกทางแล้ว ขอเพียงให้หมั่นฟังให้เป็นกิจวัตร ถึงจะมีกรรมไม่ดีมาตัดรอน แต่ผลของกุศลกรรมก็จะให้ผลเช่นกัน
อนุโมทนาท่านเจ้าของกระทู้และทุกความเห็น หากท่านผู้รู้ใด มีข้อคิดเห็นแย้งกับดิฉันกรุณาชี้แนะด้วย๑. วันเดือนปีเกิด กับ ความเป็นไปในชีวิตปัจจุบัน ตามที่ดิฉันรู้มา เป็นวิชาโหราศาสตร์ ขอให้อ่าน ในพรหมชาละสุตร จะทราบบว่า พระพุทธศาสนามีหลักเกี่ยวกับ วดป เกิดอย่างไร๒. ทุกชีวิต เมื่อมาเกิดไม่ว่า สัตว์เดรัจฉาน คน เทวดา พรหม อรูปพรหม ล้วน มีความทุกข์ที่ต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ คือเวียนเกิดเวียนตาย ยกเว้นแต่พระอริยบุคคล ระดับอรหันต์จึงยุติการเกิดตายสังสารวัฎได้ ส่วนการที่มนุษย์ยุคนี้จะไปถึงระดับการออกจากสังสารวัฎนั้น ดิฉันไม่แน่ใจ แต่การฟังพระธรรม ล้วนเป็นการสั่งสม ปัญญา คือพระธรรมของพระพุทธเจ้า และเดินตามทางของพระพุทธองค์แล้ว จะค่อยๆ เข้าใจ ความทุกข์ ของ ตนเองและค่อยคลายทุกข์ไปเอง โดยอัตโนมัติ๓. วิธีการคลายทุกข์ง่ายๆ และได้ความสุขใจ ที่ดิฉันเคยทำคือ การไปดูแลคนที่ด้อยโอกาสกว่าเราเช่น เด็กกำพร้า ผู้ชราตามที่พักคนชรา คนป่วยที่ยากไร้ แล้วจะเข้าใจว่าชีวิตที่ทุกข์กว่าเรา มีอีกมหาศาลแล้วเราจะคลายทุกข์บ้าง และจะเบื่อ การเกิดอีกครั้งต่อๆ ไปบ้าง๔. คนที่มีทุกข์จึงจะมีโอกาสมาสนใจพระธรรม น่าจะเป็นความโชคดี ที่เรามาพบกันในเวบนี้ หากคนมีความสุข เพรียบพร้อม คงมีน้อยนักที่จะสนใจพระธรรม นอกจากมีกุสลสะสมมาแต่ชาติก่อนๆ มามาก ขอให้ มาศึกษา ฟังธรรมต่อเนื่องนะคะ เปิดกระทู้สนทนาธรรมเดิมๆ มาอ่านก็ได้ความคิดนะคะ ส่วนตัวฟังวิทยุที่อ สุจินต์ สอนมาตั้งแต่ ปี 2530 มานานแล้ว และยังติดตามอยู่ ลองอ่านปรมัตถธรรมของอสุจินต์ดูด้วย จะดีมากค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ
ชีวิตทุกคนก็มีขึ้นมีลง ถ้าไม่อยากลำบาก ก็ต้องสะสมบุญกุศลไว้เยอะๆ แต่บุญกุศลก็ยังวนเวียนอยู่ในวัฏฏะ ก็ยังไม่พ้นทุกข์อยู่ดี แต่การศึกษาธรรมะ การฟังธรรมะ การอบรมปัญญาเท่านั้น ที่จะเป็นหนทางนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริงในวันหนึ่งค่ะ
ไม่เกี่ยวกับวัน เดือน ปี เกิดครับ เกี่ยวแค่ว่าในอดีตมีการกระทำ ทางกาย วาจาที่ไม่ดี ปัจจุบัน จึงลำบากและการกระทำทาง กาย วาจาในชาติปัจจุบัน ก็จะกำหนด
ความสบายหรือลำบากในชาติหน้าครับ แต่ไม่ว่าชาติหน้าจะสบาย หรือลำบากก็ไม่พ้นจากความทุกข์ไปได้ เพราะยังมีความเกิด พระพุทธองค์ จึงทรงแสดงสภาพธรรม เพื่อให้ผู้ฟัง (ด้วยดี) กำหนดรู้ตามด้วยสติและปัญญา จนกว่าจะเห็นว่าการกระทำทางกาย วาจา ล้วนมีเหตุปัจจัย จนกว่าจะเห็นว่ากุศลน่ะมี แต่ไม่มีใครทำกุศล จนกว่าจะเห็นว่าอกุศลน่ะมี แต่ไม่มีใครทำอกุศล จนกว่าจะละความติดทั้งในกุศลและอกุศล ซึ่งยากมาก แต่เป็นไปได้ครับ
บางครั้งสุขและทุกข์มันเกิดเพราะความคิดของเราก็มาก ฉะนั้นถ้าไม่คิดก็คงไม่ทุกข์ ส่วนเหตุที่อะไรจะเกิดก็เพราะมีปัจจัยที่ทำให้เกิด ขออนุโมทนากับท่านที่แสดงความคิดเห็นทุกท่านอีกครั้งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์